ประมวลภาพกิจกรรม MINI SUMMER CAMP

วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2551

พิพิธภัณฑ์หินแปลก

พิพิธภัณฑ์หินแปลก เป็นพิพิธภัณฑ์เอกชน ที่เก็บรวบรวมหินที่มีรูปร่างแปลกๆ จัดแสดงให้สาธารณชนเข้าชม ตั้งอยู่ปากซอยเจริญกรุง 26 ถนนเจริญกรุง เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร พิพิธภัณฑ์หินแปลกก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2542 โดยนายยรรยง เลิศนิมิตร นักธุรกิจสิ่งทอ และนักสะสม ซึ่งได้เก็บรวบรวมหินนับหมื่นๆ ชิ้นจากทั้งในประเทศไทย และจากต่างประเทศ

การจัดแสดง

พิพิธภัณฑ์จัดแสดงหินแปลกในอาคาร 3 ชั้น ชั้นที่ 1 และ 2 เป็นหินหยก ฟอสซิล หินธรรมชาติ หินย้อย ฯลฯ จำนวนกว่า 2,000 ชิ้น มีการจัดเปลี่ยนแสดงชุดใหม่ทุก 6 เดือน

หินเหล่านี้ประกอบด้วยหินฟอสซิลไม้จากภาคอีสาน หินจากภาคเหนือของประเทศไทย ฟอสซิลหอยทะเลจากเพชรบูรณ์ แต่หินส่วนใหญ่เป็นหินจากภาคกลาง เช่น จังหวัดสระบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี อุทัยธานี เป็นต้น หินเหล่านี้มีอายุไม่อย่างน้อย 200 ล้านปีขึ้นไป

หินแปลกที่มีความโดดเด่นในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีชื่อเรียกตามลักษณะที่แลเห็น ได้แก่ "ผมหงอกบนก้อนหิน" เป็นหินที่มีสาหร่ายเกาะติด ดูเหมือนผมหงอก, "แหลมทอง" รูปร่างคล้ายด้ามขวาน, "ศาลาหลบฝน" คล้ายชะง่อนผายื่นออกมา, "เต่าเทวดา" เป็นหินน้ำหนักกว่า 1,000 กิโลกรัม บริเวณที่เป็นเหมือนกระดองเต่ามีลวดลายสะดุดตามาก และหิน "ยินดีที่ได้พบ" เป็นหินคู่ คล้ายนกเพนกวิน 2 ตัวยืนจับมือกัน นอกจากนี้ยังมีหินที่มีรูปร่างเหมือนสัตว์ต่างๆ มากมาย

สำหรับหินจากต่างประเทศนั้น มีลักษณะที่แปลก และงดงาม เช่น หินจากซาอุดิอาระเบีย มีชื่อว่า "กุหลาบทะเลทราย" เกิดจากแร่ยิปซัมจับตัวกันแน่นกับแบไรต์ และแคลไซต์ตกผลึกเป็นสีขาวบริเวณที่คล้ายกลีบกุหลาบ

พื้นที่ชั้น 3 ของพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงที่เขี่ยบุหรี่จากประเทศต่างๆ กว่า 4,000 ชิ้น ทำจากวัสดุหลากหลาย เช่น ดินเผา กระดูกสัตว์ ไม้ เปลือกหอยมุก คริสตอล ทองเหลือง ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีรูปยาซิกาแร็ตที่แถมมากับบุหรี่ ฉลากไม้ขีดไฟและฉลากบุหรี่ของไทยและต่างประเทศ อายุกว่า 50 ปี และของสะสมอื่นๆ อีกมาก

ปัญหา

ปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์หินแปลกได้เปิดให้สาธารณชนเข้าชม โดยเก็บค่าเข้าชมในอัตราที่ถูก และไม่ได้มีการประชาสัมพันธ์ในวงกว้าง ทำให้ไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย พิพิธภัณฑ์มีค่าใช้จ่ายมาก เช่น ค่าพนักงาน ค่าไฟฟ้า รวมแล้วเดือนละไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท (รวมค่าเช่าอาคารด้วย) นอกจากนี้ยังขาดที่จอดรถ ทำให้ทัวร์จากต่างประเทศไม่นิยมเข้าชม ด้วยเหตุนี้เจ้าของพิพิธภัณฑ์จึงต้องหารายได้เพิ่มจากการขายหินบางชิ้น

อ้างอิง

www.siam-handicrafts.com

วัดพระศรีรัตนศาสดาราม


วัดพระศรีรัตนศาสดาราม มุมมองสายตานก จากทางทิศตะวันออก
ข้อมูลทั่วไป
ชื่อสามัญ วัดพระแก้ว
ประเภท พระอารามหลวงชั้นพิเศษ
นิกาย ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา
ความพิเศษ พระอารามประจำพระบรมมหาราชวัง
พระประธาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
พระพุทธรูปสำคัญ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระสัมพุทธพรรณี พระชัยหลังช้าง พระคันธารราษฎร์ พระนาก
ข้อมูลด้านการท่องเที่ยว
ที่ตั้ง ถนนหน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200
รถประจำทาง 1 3 6 9 15 19 25 43 44 47 53 65 70 80 91 123 201 507
เรือ เรือด่วนเจ้าพระยา: ท่าช้าง เรือข้ามฟาก: ท่าช้าง
เวลาทำการ ทุกวัน 8.00-16.00
จุดที่น่าสนใจ สักการะพระแก้วมรกต ชมจิตรกรรมฝาผนังที่พระระเบียง
กิจกรรม เทศนาธรรม วันอาทิตย์ และวันพระ
ข้อห้าม ห้ามสวมกางเกงหรือกระโปรง ที่มีชายสูงกว่าเข่าทุกชนิด เสื้อที่เปิดไหล่ทุกชนิด รองเท้าที่เปิดส้นทุกชนิด และกางเกนยีนส์ขาดๆ
การถ่ายภาพ ไม่ควรใช้แฟลช ในถ่ายภาพจิตรกรรมฝาผนัง และไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ ภายในพระอุโบสถเด็ดขาด ฝ่าฝืนมีโทษปรับ และยึดฟิล์ม/สื่อบันทึก
สถานที่ใกล้เคียง กรมศิลปากร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร พิพิธภัณฑ์ฯ ศิลป์ พีระศรี ท่าราชวรดิษฐ์ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ สนามหลวง ศาลหลักเมือง ท่าพระจันทร์ วัดพระเชตุพน
หมายเหตุ เข้าชมเป็นหมู่คณะตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ต้องทำหนังสือขออนุญาต ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารเงินตรา ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 1 สัปดาห์

วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า วัดพระแก้ว เป็นวัดที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2325 เป็นวัดในพระบรมมหาราชวัง เช่นเดียวกับ วัดพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งเป็นวัดในพระราชวังหลวงในสมัยอยุธยา และมีพระราชประสงค์ให้วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต ที่นำมาจากกรุงเวียงจันทร์ แต่แท้ที่จริงแล้ว พบเจอวัดพระแก้ว จังหวัดเชียงราย และเป็นสถานที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ เพราะมีแต่ส่วนพุทธาวาสไม่มีส่วนสังฆาวาส

วัดพระศรีรัตนศาสดารามได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์มาโดยตลอด การบูรณะครั้งใหญ่ทั้งพระอาราม มีขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีการเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 100 ปี ใน พ.ศ. 2425 ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ทั้งพระอารามในโอกาสที่มีพระราชพิธีฉลองพระนครครบ 150 ปี ในรัชกาลปัจจุบันโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ทั้งพระอารามอีกครั้งใน พ.ศ. 2525 เมื่อมีการสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงเป็นองค์ประธานในการบูรณะ

วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นวัดที่สำคัญและเป็นที่เชิดหน้าชูตาของบ้านเมือง ตลอดจนเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ

อาคารต่างๆในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
เนื่องจากภายในวัดพระศรีรัตนศาสดารามมีอาคารสำคัญและอาคารประกอบเป็นจำนวนมาก จึงขอแบ่งกลุ่มอาคารออกเป็น 3 กลุ่ม ตามตำแหน่งและความสำคัญ ดังนี้

กลุ่มพระอุโบสถ
กลุ่มพระอุโบสถ เป็นกลุ่มที่มีความสำคัญสูงสุด มีพระอุโบสถเป็นอาคารประธานซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ล้อมรอบด้วยศาลาราย พระโพธิ์ธาตุพิมาน หอราชพงศานุสรณ์ หอราชกรมานุสรณ์ หอระฆัง หอพระคันธารราษฏร์ และ พระฤๅษี

กลุ่มฐานไพที
กลุ่มอาคารบริเวณฐานไพที มีอาคารหลักสามหลัง คือ ปราสาทพระเทพบิดร พระมณฑป พระศรีรัตนเจดีย์ และวัตถุประดับตกแต่งอื่นๆเช่น รูปปั้นสัตว์หิมพานต์ บุษบกพระราชลัญจกร นครวัดจำลอง พระสุวรรณเจดีย์ และ พนมหมาก

กลุ่มอาคารประกอบอื่นๆ
เป็นกลุ่มอาคารและสิ่งประดับอื่นๆ ที่นอกเหนือจากกลุ่มอาคารทั้งสองกลุ่ม ประกอบด้วย หอพระนาก พระเศวตกุฏาคารวิหารยอด หอมณเฑียรธรรม พระอัษฎามหาเจดีย์ ยักษ์ทวารบาล และจิตรกรรมฝาผนังที่ พระระเบียง ซึ่งมีภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังจำนวน 178 ห้อง เรียงต่อกันยาวตลอดฝาผนังทั้ง 4 ทิศ มีเนื้อหาจากวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์

พระอุโบสถ

ตั้งอยู่ส่วนกลางของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีซุ้มประดิษฐานเสมารวม ๘ ซุ้ม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. ๒๓๒๖ เพื่อประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (แก้วมรกต) ที่พระองค์ทรงอัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๒๒

ในการสร้างพระอุโบสถหลังนี้ใช้เวลา ๓ ปี สำเร็จเรียบร้อยลงใน พ.ศ. ๒๓๒๘ ต่อมา เมื่อประมาณได้เกิดเพลิงไหม้บุษบกทรงพระแก้วมรกตซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมขึ้นใหม่ให้ทันฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดารามในปลายรัชกาล

หลักฐานการก่อสร้างและรายละเอียดทางสถาปัตยกรรม ของพระอุโบสถในรัชสมัยนี้ไม่ชัดเจนนัก นอกจากบ่งไว้ว่า ฝาผนังรอบนอกเป็นลายรดน้ำปิดทองรูปกระหนกเครือแย่งทรงข้าวบิณฑ์ดอกในบนพื้นสีชาด ฝาผนังด้านในเหนือประตูด้านสกัดเป็นภาพเรื่องมารวิชัยและเรื่องไตรภูมิ

ส่วนฝาผนังด้านยาวเขียนภาพเทพชุมนุมตามแบบที่สืบเนื่องมาจากสมัยอยุธยา ฝาผนังระหว่างหน้าต่างเขียนภาพเรื่องปฐมสมโพธิ หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบซึ่งปรากฏว่ามีการแก้ไขในรัชกาลที่ ๓ และ ๔ ในภายหลังดังที่เห็นได้ในปัจจุบัน

พระทวารกลาง เป็นพระทวารใหญ่สูง ๘ ศอกคืบ กว้าง ๔ ศอกคืบ ตัวบานเป็นบานประดับมุกลายช่องกลม ส่วนพระทวารข้างเป็นทวารรองสูง ๗ ศอก กว้าง ๓ ศอก ๑ คืบ ๑๐ นิ้ว ตัวบานเป็นบานประดับมุกกลายเต็ม ซึ่งบานพระทวารทั้ง ๒ แห่งนี้ สมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ประทานความเห็นว่า "เป็นฝีมือที่น่าชมยิ่ง ตั้งใจทำแข่งกับบานที่ทำครั้งแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ ซึ่งอยู่ที่วิหารยอด"

ภายในพระอุโบสถได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามตั้งแต่เพดานถึงพื้น กลางห้องประดิษฐานพระแก้วมรกตในบุษบกทองคำพร้อมด้วยพระพุทธรูปสำคัญมากมาย

พระพุทธรูปสำคัญภายในพระอุโบสถ

พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นพระพุทธรูปศิลปะเชียงแสนตอนต้น ทำจากหินหยกสีเขียวเข้มทึบแสง ปางสมาธิ ขนาดหน้าตัก ๔๓ ซม. สูง ๕๕ ซม.

พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระพุทธรูปที่รัชกาลที่ ๓ ทรงสร้างอุทิศให้กับรัชกาลที่ ๑ และ ๒ ศิลปะรัตนโกสินทร์ ปางห้ามสมุทร สูง ๓ เมตร ทรงเครื่องต้นพระจักรพรรดิราช เป็นพระพุทธรูปสำริดหุ้มทองคำลงยาราชาวดี เครื่องต้นประดับเนาวรัตน์ ใช้ทองคำเท่ากับทองที่หุ้มพระศรีสรรเพชญ ในสมัยอยุธยา

พระสัมพุทธพรรณี รัชกาลที่ ๔ ทรงสร้างใน พ.ศ. ๒๓๗๓ ตามอย่างพุทธลักษณะที่พระองค์ทรงสอบสวนได้ สร้างจากกะไหล่ทองคำ ปางสมาธิหน้าตักกว้าง ๔๙ ซม. สูงถึงพระรัศมี ๖๗.๕ ซม. มีการเปลี่ยนพระรัศมีเป็นสีต่าง ๆ ตามฤดูกาล พร้อมกับการเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต

ข้อแนะนำในการเที่ยวที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

แต่งกายให้สุภาพ ห้ามสวมเสื้อแขนกุด กางเกงขาสั้น กางเกงสามส่วน
ไม่ควรใช้แฟลชในการถ่ายภาพจิตรกรรมฝาผนังที่พระระเบียง เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายกับภาพจิตกรรมได้
ภายในอาคารอื่นทั้งหมดโดยเฉพาะพระอุโบสถ ห้ามถ่ายภาพอย่างเด็ดขาด ฝ่าฝืนมีโทษปรับ และยึดสื่อบันทึก

วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2551

วินโดวส์ไลฟ์ ฮอตเมล

Windows Live Hotmail
วินโดวส์ไลฟ์ ฮอตเมล หน้าวันนี้ ภาษาไทย
ผู้พัฒนา: ไมโครซอฟท์
รุ่นล่าสุด: 1.0 / 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2550
รุ่นทดสอบ: "M10" / 28 มีนาคม พ.ศ. 2550
ภาษาที่ใช้ได้: หลากหลายภาษา
ประเภท: อีเมล เว็บเมล
เว็บไซต์: http://mail.live.com

วินโดวส์ไลฟ์ ฮอตเมล (Windows Live Hotmail) หรือก่อนหน้านี้เรียกว่า วินโดวส์ไลฟ์ เมล เป็นบริการฟรีเว็บเมลจากไมโครซอฟท์ โดยปัจจุบันอยู่ในระยะพัฒนา ซึ่งได้ออกแบบเพื่อแทนที่ฮอตเมลในปัจจุบัน โดยความมีความสามารถเด่นคือการใช้เทคนิคเอแจ็กซ์ พื้นที่ความจุ 5 จิกะไบต์ สนับสนุนยูนิโคด และมีระบบความปลอดภัยหลายอย่างด้วยกัน

ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ผู้สมัครบัญชีฮอตเมลจะถูกสร้างเป็นบัญชีวินโดวส์ไลฟ์ ฮอตเมลโดยอัตโนมัติ และผู้ใช้ปัจจุบันสามารถอัปเดตด้วยการคลิกที่ปุ่ม Join Windows Live Hotmail สีเขียว ปัจจุบันนี้วินโดวส์ไลฟ์ ฮอตเมลรองรับ 36 ภาษา ซึ่งรวมถึงภาษาไทย

วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2551

มงคล ๓๘ ประการ


มงคล คือเหตุแห่งความสุข ความก้าวหน้าในการดำเนินชีวิต ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้พึงปฏิบัติ นำมาจากบทมงคลสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบปัญหาเทวดาที่ถามว่า คุณธรรมอันใดที่ทำให้ชีวิตประสบความเจริญหรือมี "มงคลชีวิต" ซึ่งมี ๓๘ ประการได้แก่

๑. การไม่คบคนพาล ๒. การคบบัญฑิต ๓. การบูชาบุคคลที่ควรบูชา
๔. การอยู่ในถิ่นอันสมควร ๕. เคยทำบุญมาก่อน ๖. การตั้งตนชอบ
๗. ความเป็นพหูสูต ๘. การรอบรู้ในศิลปะ ๙. มีวินัยที่ดี
๑๐.กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต ๑๑.การบำรุงบิดามารดา ๑๒.การสงเคราะห์บุตร
๑๓.การสงเคราะห์ภรรยา ๑๔.ทำงานไม่ให้คั่งค้าง ๑๕.การให้ทาน
๑๖.การประพฤติธรรม ๑๗.การสงเคราะห์ญาติ ๑๘.ทำงานที่ไม่มีโทษ
๑๙.ละเว้นจากบาป ๒๐.สำรวมจากการดื่มน้ำเมา ๒๑.ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย
๒๒.มีความเคารพ ๒๓.มีความถ่อมตน ๒๔.มีความสันโดษ
๒๕.มีความกตัญญู ๒๖.การฟังธรรมตามกาล ๒๗.มีความอดทน
๒๘.เป็นผู้ว่าง่าย ๒๙.การได้เห็นสมณะ ๓๐.การสนทนาธรรมตามกาล
๓๑.การบำเพ็ญตบะ ๓๒.การประพฤติพรหมจรรย์ ๓๓.การเห็นอริยสัจ
๓๔.การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ๓๕.มีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม ๓๖.มีจิตไม่เศร้าโศก
๓๗.มีจิตปราศจากกิเลส ๓๘.มีจิตเกษม

วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2551

อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา


อุทยานประวัติศาสตร์ พระนครศรีอยุธยา
ชื่อเรียก

ภาษาอังกฤษ Historic Town of Ayutthaya and Associated Historic Towns
ภาษาฝรั่งเศส Ville historique d'Ayutthaya et villes historiques associées
ภาษาเยอรมัน Geschichtspark Ayutthaya
ภาษาเวียดนาม Công viên lịch sử Ayutthaya
ภาษาญี่ปุ่น 古代都市アユタヤと周辺の古代都市群
ข้อมูลทั่วไป
ที่ตั้ง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ไทย
ประเภท มรดกทางวัฒนธรรม
ปีที่ขึ้นทะเบียน พ.ศ. 2534

อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้รับการพิจารณาเป็นมรดกโลกเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2534


ประวัติ
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา จากการสำรวจพบว่า มีโบราณสถานกระจัดกระจายอยู่ไม่ต่ำกว่า 200 แห่ง การดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวกับโบราณสถานของกรุงศรีอยุธยา ได้เริ่มต้นขึ้นครั้งแรก เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ พระยาโบราณราชธานินท์ ข้าหลวงมณฑลกรุงเก่าทำการขุดแต่งพระที่นั่งบางองค์ในเขตพระราชวังหลวง ซึ่งในขณะนั้นรกมาก เนื่องจากอิฐหัก กากปูนทับถมกว่าร้อยปี

ต่อมาในสมัยของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงได้เริ่มโครงการบูรณะพระที่นั่ง และวัดต่างๆ โดยมีกรมศิลปากรเป็นผู้ดูแล

ปี พ.ศ. 2512 ได้มีโครงการชื่อ โครงการสำรวจขุดแต่งและบูรณะปรับปรุงโบราณสถาน โดยมีความพยายามที่จะประสานงานร่วมมือกับองค์กรต่างๆ ในอันที่จะอนุรักษ์เมืองประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาไว้ ในที่สุด พ.ศ. 2519 ได้มีการปรับปรุงโครงสร้างของงานชิ้นใหม่ แล้วจัดทำโครงการอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาขึ้น และเริ่มทำการบูรณะปรับปรุงโบราณสถานเป็นต้นมาตั้งแต่ พ.ศ. 2520


เหตุผลที่ได้รับคัดเลือกเป็นมรดกโลก
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาได้ลงทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2534 โดยมีเหตุผลตามเกณฑ์การพิจารณาคือ

(i) - เป็นตัวแทนซึ่งแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันฉลาด
(iii) - เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว

ราชวงศ์สุโขทัย

ราชวงศ์สุโขทัย เป็นราชวงศ์กษัตริย์ในกรุงศรีอยุธยา ที่สืบเชื้อสายจากกษัตริย์สุโขทัย ประกอบด้วย

๑. สมเด็จพระมหาธรรมราชา หรือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๑ ทรงปรับปรุงพระนครเพื่อรับมือข้าศึก เสวยราชสมบัติเมื่อ พ.ศ. ๒๑๑๒ เสด็จสวรคตเมื่อ พ.ศ. ๒๑๓๓ ครองราชย์ทั้งสิ้น ๒๑ ปี

๒. สมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๒ ทรงประกาศอิสรภาพจากการเป็นประเทศราชของพม่า ทรงทำสงครามเพื่อกอบกู้เอกราช ทรงปรับปรุงการปกครองเพื่อดึงอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางมากขึ้นเพื่อความมั่นคงของราชอาณาจักร เสวยราชสมบัติเมื่อ พ.ศ. ๒๑๓๓ เสด็จสวรคตเมือ พ.ศ. ๒๑๔๘ ครองราชย์ทั้งสิ้น ๑๕ ปี

๓. สมเด็จพระเอกาทศรถ หรือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๓ ทรงประกาศใช้กฎหมายเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีอากรรูปเเบบใหม่เพิ่มขึ้น เสวยราชสมบัติเมื่อ พ.ศ. ๒๑๔๘ เสด็จสวรคตเมื่อ พ.ศ. ๒๑๖๓ ครองราชย์ทั้งสิ้น ๑๕ ปี

๔. สมเด็จพระศรีเสาวภาคย์ หรือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๔ เสวยราชสมบัติเมื่อ พ.ศ. ๒๑๖๓ เสด็จสวรคตเมื่อ พ.ศ. ๒๑๖๓ ครองราชย์ไม่ถึงปี

๕. สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม หรือ สมเด็จพระบรมราชาที่ ๑ ทรงประกาศใช้กฎหมายการศาล เสวยราชสมบัติเมื่อ พ.ศ. ๒๑๖๓ เสด็จสวรคตเมื่อ พ.ศ. ๒๑๗๑ ครองราชย์ทั้งสิ้น ๘ ปี

๖. สมเด็จพระเชษฐาธิราช หรือ สมเด็จพระบรมราชาที่ ๒ ส่งราชทูตไปเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับญี่ปุ่นในปี พ.ศ. ๒๑๗๓ เสวยราชสมบัติเมื่อ พ.ศ. ๒๑๗๑ เสด็จสวรคตเมื่อ พ.ศ. ๒๑๗๓ ครองราชย์ทั้งสิ้น ๒ ปี

๗. สมเด็จพระอาทิตยวงศ์ เสวยราชสมบัติเมื่อ พ.ศ. ๒๑๗๓ เสด็จสวรคตเมื่อ พ.ศ. ๒๑๘๐ ครองราชย์ทั้งสิ้น ๖ ปี

นก


นก
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร Animalia
ไฟลัม Chordata
ไฟลัมย่อย Vertebrata
ชั้นไม่จัดอันดับ Archosauria
ชั้น Aves
Linnaeus, 1758

นก จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้น Aves (คำว่า Aves เป็นภาษาละติน หมายถึง นก) โดยมีลักษณะทั่วไปคือ เป็นสัตว์ทวิบาท เลือดอุ่น ออกลูกเป็นไข่ รยางค์คู่หน้าเปลี่ยนแปลงไปเป็นปีก มีขนนก และมีกระดูกที่กลวงเบา

ในปัจจุบันทั่วโลกมีนกอยู่ประมาณ 8,800 ถึง 9,800 ชนิด (ตามการจัดอนุกรมวิธานที่ต่างกัน) ซึ่งนับว่านกเป็นชั้นของสัตว์มีกระดูกสันหลังที่มีความหลากหลายมากที่สุด ในบรรดาชั้นของสัตว์มีกระดูกสันหลังทั้งหลายที่อาศัยอยู่บนพื้นดิน ความหลากหลายของนกนับเนื่องไปตั้งแต่ในเรื่องของขนาดตัว สีสัน เสียงร้อง อาหารการกิน และถิ่นที่อยู่อาศัย

นกเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญเป็นอันมากทั้งต่อระบบนิเวศและต่อชีวิตมนุษย์ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับนกเป็นไปอย่างแน่นแฟ้น และการเกื้อกูลกันระหว่างนกกับสรรพสิ่งต่างๆ ตามธรรมชาติก็เป็นไปอย่างแนบแน่น ถ้าหากปราศจากนก คงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงการดำรงอยู่ต่อไปของชีวภาคใบนี้

วิวัฒนาการ

นกมีความคล้ายคลึงกับสัตว์เลื้อยคลานหลายประการ เช่น โครงสร้างของกระดูกและกล้ามเนื้อ เกล็ดที่ขา การออกลูกเป็นไข่ และการเจริญเติบโตของตัวอ่อน จึงเชื่อกันว่านกในปัจจุบันถือกำเนิดมาจากสัตว์เลื้อยคลาน

ยิ่งไปกว่านั้น มีหลักฐานซากดึกดำบรรพ์จำนวนมากยืนยันว่านกมีวิวัฒนาการมาจากไดโนเสาร์เทอโรพอด ตัวอย่างเช่น ซากดึกดำบรรพ์อาร์คีออพเทอริกซ์ที่ค้นพบในแคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี เมื่อปี ค.ศ. 1861 ซากดึกดำบรรพ์นี้มีอายุประมาณ 150 ล้านปี บ่งบอกว่าอาร์คีออพเทอริกซ์อาศัยอยู่ในยุคจูแรสสิก และมีลักษณะกึ่งนกกึ่งเทอโรพอด โดยอาร์คีออพเทอริกซ์ต่างจากนกในปัจจุบันตรงที่มีสามเล็บยื่นออกมาจากอุ้งมือ มีฟันที่ปาก และมีกระดูกหางยาว แต่ขณะเดียวกันบริเวณลำตัวก็มีขนนกปกคลุม ทำให้นักปักษีวิทยาเชื่อว่าอาร์คีออพเทอริกซ์น่าจะเป็นบรรพบุรุษของนกในปัจจุบัน

เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์คริพโทโวแลนส์ที่ประเทศจีน ซึ่งมีสันที่กระดูกอก และส่วนยื่นรูปตะขอที่ซี่โครง ซากดึกดำบรรพ์คริพโทโวแลนส์จึงนับว่ามีความเป็นนกมากกว่าซากดึกดำบรรพ์ใดๆ ที่เคยค้นพบ

กายวิภาคเพื่อการบิน
ทุกส่วนในร่างกายของนกถูกดัดแปลงเพื่อให้เหมาะสมกับการเป็นเจ้าเวหาอย่างแท้จริง เริ่มจากกระดูก ที่ภายในมีลักษณะกลวงคล้ายรวงผึ้ง ทำให้เบาแต่แข็งแรง นกบางชนิดในวงศ์นกโจรสลัด เมื่อกางปีกจะกว้างถึง 2 เมตร แต่น้ำหนักกระดูกทั้งหมดเพียงแค่ 113 กรัมเท่านั้น

นอกจากนี้อวัยวะภายในบางอย่างของนกจะถูกตัดทอนออกไปเพื่อลดน้ำหนักตัวให้ได้มากที่สุด เช่นรังไข่ของตัวเมียที่เหลือเพียงข้างเดียว และปากที่ไร้ฟัน โดยนกจะไม่เคี้ยวอาหาร แต่กลืนลงไปย่อยในกึ๋นแทน

การบินของนกต้องใช้พลังงานจากเมแทบอลิซึมเป็นอย่างมาก นกจึงมีระบบหายใจและระบบหมุนเวียนโลหิตอันทรงประสิทธิภาพ จากหัวใจที่มี 4 ห้อง และท่อที่เชื่อมต่อระหว่างปอดกับถุงลมทั่วลำตัว

เพื่อความปลอดภัยในการบิน นกจึงต้องมีสัมผัสอันว่องไว โดยเฉพาะสัมผัสทางสายตา นกบางชนิดมีสายตาอันคมกริบ อาจกล่าวได้ว่าเป็นสายตาที่ดีที่สุดในบรรดาสายตาของสัตว์มีกระดูกสันหลังด้วยกัน สมองส่วนรับภาพของนกพัฒนาไปมาก เช่นเดียวกับสมองส่วนควบคุมการเคลื่อนไหว เพราะการบินที่ดีต้องอาศัยการประสานงานที่ดีของทุกส่วนในร่างกายนั่นเอง

สิ่งที่ขาดไปไม่ได้สำหรับการบินคือ ปีก นกมีปีกที่เป็นไปตามหลักอากาศพลศาสตร์ ซึ่งช่วยให้เกิดแรงยกขณะบิน ในการกระพือปีก นกจะใช้กล้ามเนื้ออกอันแข็งแรงที่ติดอยู่กับกระดูกอก นกที่บินเร็วที่สุดคือนกในวงศ์นกแอ่นบินเร็ว ซึ่งบินได้เร็วถึง 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ส่วนขนนกนั้นนับว่าเป็นพัฒนาการที่พิเศษสุดอย่างหนึ่งในบรรดาพัฒนาการของสัตว์มีกระดูกสันหลัง ขนนกเป็นส่วนประกอบของเคราติน มีลักษณะเบาแต่แข็งแรง ขนนกช่วยป้องกันนกจากแสงแดด ช่วยในการหาคู่ ช่วยในการปรับอุณหภูมิของร่างกาย และที่สำคัญที่สุดคือช่วยในด้านการบินของนก

ความเป็นอยู่

อาหารการกิน
ในแต่ละวันนกต้องการอาหารจำนวนมากเพื่อนำไปใช้ในกระบวนการเมแทบอลิซึม (metabolism) โดยนกแต่ละชนิดจะหาอาหารที่แตกต่างกันออกไป นกบางชนิดเลี้ยงชีพด้วยน้ำต้อย บางชนิดเลี้ยงชีพด้วยธัญพืช แมลง สัตว์พวกหนู สัตว์พวกกิ้งก่า ปลา ซากเน่า ไปจนถึงนกด้วยกัน นกจะพัฒนารูปร่าง ปีก ขา และปาก ให้มีลักษณะเหมาะสมกับการหาอาหาร นกส่วนใหญ่เป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางวัน มีนกเพียงบางชนิดเท่านั้นที่หากินในเวลากลางคืน

นกบางชนิดหากินร่วมกันเป็นฝูง เช่น ฝูงนกนางนวลที่บินร่อนหาปลาตามชายทะเล หรือฝูงนกเป็ดน้ำรวมตัวกันแหวกว่ายอยู่ในบึง ซึ่งการหากินร่วมกันเป็นฝูงใหญ่ช่วยให้นกหาอาหารง่ายขึ้นและได้ปริมาณมากกว่าหากินตามลำพัง รวมทั้งยังช่วยกันระวังภัยได้เป็นอย่างดี

ส่วนนกบางชนิดก็มีพฤติกรรมการหาอาหารร่วมกับสัตว์อื่น เช่น นกเอี้ยงที่หากินร่วมกับวัวควาย โดยนกเอี้ยงจะคอยจับแมลงที่พากันบินหนีขึ้นมาเมื่อวัวควายเดินย่ำไปบนดิน นอกจากนี้นกเอี้ยงยังชอบเกาะบนตัววัวควายเพื่อจับแมลงที่บินตอมตามตัววัวควายอีกด้วย


ถิ่นอาศัย
นกแต่ละชนิดมีการปรับตัวให้เหมาะสมกับถิ่นอาศัยต่างๆ เราจึงสามารถพบนกได้ทุกหนทุกแห่งในสภาพแวดล้อมอันหลากหลาย ซึ่งพอจะแบ่งถิ่นอาศัยของนกได้ดังนี้

บริเวณชายหาดและท้องทะเล
มีนกหลายชนิดที่เดินหากินตามแนวหาดทรายชายทะเล เช่น นกหัวโตมลายู และ นกยางทะเล เป็นต้น ขณะที่นกหลายชนิดโผผินบินร่อนอยู่ตามหน้าผาริมทะเล หรือแม้แต่ในทะเลลึกก็เป็นแหล่งหากินของนกขนาดใหญ่ เช่น นกโจรสลัด ซึ่งนกโจรสลัดสามารถบินวนอยู่บนท้องฟ้าได้เป็นเวลาหลายวันโดยไม่ต้องร่อนลงบนพื้นดิน โดยนกที่หากินในท้องทะเลนี้ เรามักเรียกว่า นกทะเล
บริเวณป่าชายเลนและปากแม่น้ำ
ตามแนวชายฝั่งที่มีไม้ชายเลนขึ้นหนาแน่นเป็นถิ่นอาศัยของนกมากมาย เช่น นกกินเปรี้ยว และ เหยี่ยวแดง เป็นต้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวจะมีนกอพยพย้ายถิ่นเข้ามาพักอาศัยเป็นจำนวนมาก นกที่หากินตามป่าชายเลนนี้มีชื่อเรียกโดยรวมว่า นกชายเลน นอกจากนี้ก็มีฝูงนกนางนวลซึ่งเป็นนกทะเลหากินบริเวณนี้ด้วย
บริเวณทุ่งหญ้า ที่ลุ่มน้ำขัง และหนองบึง
พื้นที่เกษตรกรรมแถบชานเมืองหรือในชนบทเป็นที่อยู่ของนกหลายชนิด นกที่อาศัยอยู่ตามทุ่งนาหรือทุ่งหญ้าโล่ง เรามักเรียกกันว่า นกทุ่ง เช่น นกตะขาบทุ่ง นกกระจิบหญ้า เป็นต้น ส่วนนกที่อาศัยตามแหล่งน้ำ เช่น หนอง บึง ทะเลสาบ เรามักเรียกว่า นกน้ำ เช่น นกยาง นกเป็ดน้ำ และ นกกวัก เป็นต้น
ป่าไม้ประเภทต่างๆ
ถือว่าเป็นสถานที่ที่มีนกอาศัยอยู่มากกว่าแห่งอื่น เนื่องจากเหมาะสำหรับการดำรงชีวิตของนกนานาชนิด เช่น นกเงือก นกขุนแผน นกโพระดก และ นกแต้วแล้ว เป็นต้น นกที่อาศัยหากินในป่ามีชื่อเรียกโดยรวมว่า นกป่า
สภาพแวดล้อมอื่นๆ
นกบางชนิดมีการปรับตัวจนสามารถอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แม้แต่สัตว์อื่นยังอาศัยอยู่ได้ยาก เช่น ทะเลทราย ขั้วโลกใต้ หรือแม้แต่ในเมือง
ในปัจจุบันมีการนำดีเอ็นเอมาใช้จัดจำแนกนกแล้ว โดยงานที่สำคัญคือ Sibley & Ahlquist's Phylogeny and Classification of Birds (1990) แต่การจัดจำแนกนกในที่นี้ยึดตาม Handbook of Birds of the World ซึ่งจัดอันดับนกโดยอาศัยลักษณะทางสัณฐานวิทยาเป็นหลัก และแบ่งนกออกเป็นอันดับต่างๆ ดังนี้


Paleognathae
อันดับใหญ่ Paleognathae (ตามรากศัพท์แปลว่า ขากรรไกรแบบเก่า) ประกอบด้วยนกอันดับต่างๆ ดังนี้

อันดับแรไทท์ (Struthioniformes)
อันดับนกไทแนมู (Tinamiformes)

Neognathae
อันดับใหญ่ Neognathae (ตามรากศัพท์แปลว่า ขากรรไกรแบบใหม่) ประกอบด้วยนกอันดับต่างๆ ดังนี้

อันดับห่าน (Anseriformes)
อันดับไก่ (Galliformes)
อันดับนกเพนกวิน (Sphenisciformes)
อันดับนกลูน (Gaviiformes)
อ้นดับนกเป็ดผี (Podicipediformes)
อันดับนกจมูกหลอด (Procellariiformes)
อันดับนกเพลิแกน (Pelecaniformes)
อันดับนกกระสา (Ciconiiformes)
อันดับเหยี่ยว (Accipitriformes)
อันดับหยี่ยวปีกแหลม (Falconiformes)
อันดับนกคุ่มแท้ (Turniciformes)
อันดับนกกระเรียน (Gruiformes)
อันดับนกหัวโต (Charadriiformes)
อันดับนกแซนด์เกราส์ (Pteroclidiformes)
อันดับนกพิราบ (Columbiformes)
อันดับนกแก้ว (Psittaciformes)
อันดับนกคัคคู (Cuculiformes)
อันดับนกเค้า (Strigiformes)
อันดับนกตบยุง (Caprimulgiformes)
อันดับนกแอ่น (Apodiformes)
อันดับนกตะขาบ (Coraciiformes)
อันดับนกหัวขวาน (Piciformes)
อันดับนกขุนแผน (Trogoniformes)
อันดับนกโคลี (Coliiformes)
อันดับนกจับคอน (Passeriformes) '

อ้างอิง
-http://en.wikipedia.org/wiki/bird
-รุ่งโรจน์ จุกมงคล, นก, สารคดี, 2542. ISBN 9748211711.
นำเสนอความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับนก การดูนก และนกวงศ์ต่างๆ ในประเทศไทย
-โอภาส ขอบเขตต์, นกในเมืองไทย, สารคดี, 2541. ISBN 9748211703.
หนังสือเกี่ยวกับนกในเมืองไทยที่ละเอียดที่สุดในปัจจุบัน เขียนโดยอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านปักษีวิทยาของเมืองไทย หนึ่งชุดมีห้าเล่ม
-Boonsong Lekagul, Philip D. Round, A guide to the birds of Thailand, Saha Karn Bhaet, 1991. ISBN 9748567362.
คู่มือที่นักดูนกเมืองไทยทุกคนต้องมี
-Neil A. Campbell, Jane B. Reece, Biology, Addison-Wesley, 2002. ISBN 0201750546.
ในบทที่ 34 มีกล่าวถึงนกอยู่พอสังเขป

ปลาฉลาม


ปลาฉลาม
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อันดับใหญ่ Selachimorpha

ฉลาม (ภาษาอังกฤษ Shark ชื่อทางวิทยาศาสตร์: Selachimorpha) เป็นปลาในชั้นปลากระดูกอ่อนจำพวกหนึ่ง มีฟันแหลมคม

ปลาฉลามบางชนิดจะมีเหาฉลามอาศัยอยู่ ปลาฉลามวอบบีกอง(Wobbegong shark)เป็นปลาฉลามที่พรางตัวให้กลืนกับท้องทะเล ปลาฉลามวาฬเป็นปลาฉลามที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ปลาฉลามอาจว่ายน้ำได้เร็วถึง 35 กม./ชม.ปลาฉลามส่วนใหญ่ออกลูกเป็นตัว มีบางชนิดที่ออกลูกเป็นไข่

ฉลามมีหลายชนิดเช่น

ปลาฉลามวาฬ (Whale shark)
ปลาฉลามวอบบีกอง (Wobbegong shark)
ปลาฉลามหางยาว (Thresher shark)
ปลาฉลามหิน (Nurse shark)
ปลาฉลามหัวค้อน (Hammerhead shark)
ปลาฉลามกินคน (Mako shark)
ปลาฉลามหัวบาตร (Bull shark)
ปลาฉลามครีบดำ (Blacktip reef shark)
ปลาฉลามเลมอน (Lemon shark)
ปลาฉลามขาวยักษ์ (white giant shark)
ปลาฉลามเสือ

วาฬ


วาฬ
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์[ซ่อน]
อาณาจักร Animalia

วาฬ (นิยมเรียกว่า ปลาวาฬ) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง ออกลูกเป็นตัว มีขนาดตัวที่ใหญ่มหึมา(สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก) วาฬถึงแม้ว่าจะเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในน้ำแต่วาฬไม่ใช่สัตว์ประเภทปลา และมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นปลาเสมอ สิ่งที่ทำให้วาฬไม่ใช่ปลา คือ วาฬ หายใจด้วยปอด ซึ่งเหมือนมนุษย์เรา วาฬจึงต้องขึ้นมาเหนือทะเลอยู่ตลอด

บรรพบุรุษของวาฬ เชื่อว่าเป็นสัตว์กินเนื้อบนบกในสมัย พาลิโอซีน เมื่อประมาณ65ล้านปีก่อน จากนั้นก็วิวัฒนาการเริ่มใช้ชีวิตแบบสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำภายในเวลาเพียง10ล้านปีต่อมาในสมัย อีโอซีน หรือเมื่อประมาณ55ล้านปีก่อน โดยจากสัตว์เลื้อยคลานครึ่งบกครึ่งน้ำจากนั้นขาหลังก็ค่อยหดและเล็กลงจนต่อมาเมื่อประมาณ 24-26ล้านปี ก่อนกระดูกและข้อต่อก็หดเล็กลงจนไม่มีโผล่ออกมาให้เห็น แต่ในปัจจุบันกระดูกส่วนของขาหลังก็ยังคงมีอยู่โดยเป็นอวัยวะภายในที่มีขนาดเล็ก และทำหน้าที่เพียงเป็นที่ยึดติดของอวัยวะสืบพันธุ์เท่านั้น

ปัจจุบันมีการจัดให้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกว่า80ชนิดจัดอยู่ในกลุ่มวาฬ โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม

มิสติเซเตส หรือวาฬบาลีน โดยวาฬกลุ่มนี้มีลักษณะคือใช้แผ่นกระดูกเป็นซี่คล้ายหวีกรองอาหารจากน้ำทะเล โดยส่วนมากวาฬที่อยู่ในกลุ่มนี้จะเป็นวาฬขนาดใหญ่เช่น วาฬสีน้ำเงิน
โอดอนโตเซเตส หรือวาฬมีฟัน โดยมากจะเป็นวาฬขนาดเล็ก รวมทั้งโลมาทุกชนิด(โลมาขนาดใหญ่ที่สุดเรียกว่าวาฬเพชฌฆาต)

หอยหลอด


หอยหลอด เป็นหอยทะเลกาบคู่ รูปร่างคล้ายหลอดกาแฟ ยาว 7-8 ซ.ม. เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 ซ.ม. เปลือกสีน้ำตาลอ่อน เนื้อสีขาวขุ่น ส่วนหัวนิ่ม ส่วนปลายเหนียว ชอบฝังตัวตามแนวดิ่งในตะกอนดินโคลนปนทรายบริเวณปากแม่น้ำที่ชาวบ้านเรียกว่าทรายขี้เป็ด บริเวณที่มีหอยหลอดเป็นจำนวนมากในประเทศไทยคือ ดอนหอยหลอด จังหวัดสมุทรสงคราม นอกจากที่ดอนหอยหลอดแล้ว ยังอาศัยอยู่ที่ จังหวัดเพชรบุรี จ.สมุทรปราการ จ.ตราด รวมไปถึงประเทศอินโดนีเซียและออสเตรเลีย

การจับหอยหลอดจะใช้ปูนขาวหยอดลงในรู ทำให้หอยโผล่ขึ้นมาให้จับได้ง่าย ช่วงที่เหมาะสำหรับการจับมากที่สุดคือเดือน ม.ค.-พ.ค. เพราะตอนกลางวันน้ำจะลดลงมาก ทำให้สันดอนโผล่พ้นน้ำ เนื้อหอยหลอดนำมาประกอบอาหารได้หลายประเภท ทั้งทอดกรอบ ต้มยำ และผัดฉ่า

ปลาการ์ตูน

ปลาการ์ตูน
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์[ซ่อน]
อาณาจักร Animalia
ไฟลัม Chordata
ชั้น Actinopterygii

อันดับ Perciformes
วงศ์ Pomacentridae
วงศ์ย่อย Amphiprioninae

ปลาการ์ตูน เป็นปลาที่อาศัยอยู่ในทะเล มีหลายพันธุ์ ชอบอยู่กับดอกไม้ทะเล ที่มีเข็มพิษสำหรับป้องกันอันตรายแต่ไม่เป็นอันตรายกับปลาการ์ตูนทำให้สามารถอยู่กันอย่างพึ่งพาอาศัยกัน ที่ปลาการ์ตูนไม่ตายเพราะพิษของดอกไม้ทะเลนั้นเพราะมีเมือกเคลือบทั้งตัวถ้าเอาเมือกออกปลาการ์ตูนก็จะถูกพิษของดอกไม้ทะเลตาย ปลาการ์ตูนที่พบในทะเลทั้งสองฝั่งของไทยมี 7 ชนิด ได้แก่ ปลาการ์ตูนส้มขาว อินเดียแดง การ์ตูนแดง มะเขือเทศ อานม้า ลายปล้อง อินเดียน ปลาการ์ตูนสามารถเปลี่ยนแปลงเพศของตัวเองได้ มีนิสัยอยู่รวมกันเป็นครอบครัว พ่อแม่ปลาจะช่วยกันเลี้ยงดูลูก ปลาการ์ตูนแต่ละชนิดจะชอบอาศัยอยู่ตามดอกไม้ทะเลไม่เหมือนกัน ปัจจุบันได้มีการเพาะพันธุ์ได้ตามศูนย์วิจัยต่าง ฟาร์ม เพื่อจำหน่าย แต่ลูกปลาที่ได้จากการเพาะพันธุ์ไม่สามารถนำไปปล่อยแหล่งที่อยู่ตามธรรมชาติของปลาได้ เพราะว่าปลาไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติได้ไม่สามารถป้องกันตัวเองจากปลาใหญ่ชนิดต่างๆ จึงต้องไปเป็นเหยื่อกับปลาที่อยู่ตามธรรมชาติ

ปลาการ์ตูน เป็นปลาอยู่ในตระกูล Pomacentridae พบประมาณ 27 ชนิดทั่วโลก ในทะเลไทยพบ 11 ชนิด พบทั้งอ่าวไทยและอันดามัน(ปัจจุบันปลาการ์ตูนเป็นที่ต้องการของนักเลี้ยงปลาสวยงามมากทำให้ถูกจับไปจนหาดูได้ยากในอ่าวไทย) อาศัยอยู่กับดอกไม้ทะเล มีสีสันสวยงาม ตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ อยู่กันเป็นครอบครัว สามารถเปลี่ยนเพศได้ กินแพลงก์ตอนเป็นอาหาร เป็นปลาที่หวงถิ่นมากจะมีเขตที่อยู่ของตนเอง ปลาการ์ตูนออกลูกเป็นไข่

อินทรี


อินทรี
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์[แสดง]
อาณาจักร Animalia
ไฟลัม Chordata
ชั้น Aves

อันดับ Falconiformes
วงศ์ Accipitridae

นกอินทรี เป็นสัตว์เลือดอุ่นประเภท สัตว์ปีก ที่มีขนาดใหญ่ มีโครงสร้างทางกายภาพที่แข็งแรง ประกอบด้วย โครงกระดูก กล้ามเนื้อ ส่วนต่าง ๆ ขน และกรงเล็บ เป็นหลัก เป็น นก ที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในประเภทนกที่ล่าเหยื่อเป็นอาหาร มีขนาด ปีก และ หาง ที่กว้าง ลักษณะปลายปีกแหลมหรือปีกแตก จะงอยปากงองุ้มเป็นตะขอ อินทรีเป็นนกที่มีลักษณะสวยงาม แข็งแรง สายตาคม บินเร็ว โจมตีแม่นยำทำให้มองเห็นเหยื่อได้แต่ไกล มีเพดานบินตั้งแต่พื้นราบจนถึงความสูง 2,100 เมตร ซึ่งส่วนใหญ่จะมีสีเข้มและสร้าง รัง บน หน้าผา ที่สูงชัน

อินทรีเป็นนกที่มีขนาดใหญ่และแข็งแรงทำให้ได้ชื่อว่าเป็น ราชา แห่งการล่าเหยื่อ ซึ่งได้แก่ ปลา งู สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ขนาดเล็กเช่น หนู เป็นนกนักล่าซึ่งล่านก และไข่นกที่มีขนาดเล็กกว่าเป็นอาหาร เป็นต้น ปัจจุบันอินทรีเริ่มสูญพันธุ์ไปจาก โลก เพราะ มนุษย์ เริ่มที่จะล่านกชนิดนี้มากยิ่งขึ้น ทำให้อินทรีทอง อินทรีทะเลสเตลเลอร์ อินทรีหัวล้าน จัดอยู่ในประเภทของสัตว์สงวน อินทรีอาศัยกระจัดกระจายอยู่ตามพื้นที่เขตต่าง ๆ ทั่วทุกแห่งใน โลก ยกเว้นพื้นที่ในเขต ทวีปแอนตาร์กติก ที่มีอากาศหนาวเย็น

นกอินทรีมีหลายชนิด ดังนี้

1.อินทรีทะเลสเตลเลอร์
2.อินทรีหัวล้าน หรือ อินทรีหัวขาว (Bald Eagle)
3.อินทรีฮาพี
4.อินทรีปีกลาย
5.อินทรีสีทอง

ม้า


ม้า
'Equus caballus' Linnaeus, 1758
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร Animalia
ไฟลัม Chordate
ชั้น Mammalia

อันดับ Perissodactyla
วงศ์ Equidae

สกุล Equidae
สกุลย่อย Equus
สปีชีส์ E. caballus

ม้า (ชื่อวิทยาศาสตร์ Equus caballus หรือ Equus ferus caballus) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมซึ่งมีความหลากหลายทางสายพันธุ์ที่ถูกมนุษย์นำมาเลี้ยงและถูกใช้ในกิจกรรมการเดินทางขนส่ง การทหาร กีฬา สันทนาการและอาจจะใช้เป็นอาหารของมนุษย์ในบางวัฒนธรรมมานานนับพันปีแล้ว ปัจจุบันบทบาทของม้าถูกแทนที่ด้วยยานพาหนะแบบใหม่จน บทบาทลดลงไปเหลือเพียงทางกีฬาและสันทนาการโดยส่วนใหญ่ ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันเราจะเห็นม้าเป็นสัญลักษณ์ที่ควบคู่กับคาวบอย

ไก่


ไก่
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์[ซ่อน]
อาณาจักร Animalia
ไฟลัม Chordata
ชั้น Aves

อันดับ Galliformes
วงศ์ Phasianidae

สกุล Gallus
สปีชีส์ G. gallus

ไก่ (Chicken) จัดอยู่ในประเภทสัตว์ปีกจำพวกนก ชื่อวิทยาศาสตร์ Gallus gallus มีหลายวงศ์ บินได้ในระยะสั้น หากินตามพื้นดิน ตกไข่ก่อนแล้วจึงฟักเป็นตัว ตัวผู้หงอนใหญ่และเดือยยาว เช่น ไก่แจ้ ไก่อู ไก่ตะเภา ไก่เบตง ไก่ดำ ไก่นา

โรคระบาดที่สำคัญของไก่
โดยปกติแล้วการเลี้ยงไก่จะต้องมีการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรค ซึ่งโรคที่ชอบเป็นกับไก่ก็เช่น

โรคนิวคาสเซิล
โรคฝีดาษ
โรคอหิวาต์
โรคหลอดลมอักเสบ
โรคพยาธินัยน์ตาไก่
โรคพยาธิใส้เดือนไก่

ปู


ปู
ปูในสปีชีส์ Callinectes sapidus
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์[แสดง]
อาณาจักร Animalia
ไฟลัม Arthropoda
ไฟลัมย่อย Crustacea
ชั้น Malacostraca

อันดับ Decapoda
อันดับย่อย Pleocyemata
อันดับฐาน Brachyura
Linnaeus, 1758

ปู เป็นสัตว์พวกเท้าปล้อง (อยู่ในไฟลัมอาโทรโพดา) ชนิดหนึ่ง มีลักษณะแปดขา มีหลายหลายชนิดที่อยู่ทั้งปูน้ำจืดและปูทะเล

ปูในแนวปะการังมีหลายกลุ่มหลายรูปร่าง โดยสัมพันธ์กับพฤติกรรม ปูหลายชนิดอาศัยตาม พื้นทราย จะมีขาว่ายน้ำหรือกรรเชียงคล้ายปูม้า บางชนิดตัวใหญ่ มีกระดองแข็งคล้ายปูทะเล มีขาสั้น และแข็งแรง เพื่อเกาะยึดกับหิน เช่น ปูใบ้ก้ามดำ[2]

ปูบางชนิดมีรูปร่างแปลกเพื่อพรางตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม บางชนิดมีสีและลักษณะกระดอง เหมือนกัลปังหา ปะการังอ่อน หรือดาวขนนกจนแยกไม่ออก ในจำนวนนี้ยังมีปูที่นำฟองน้ำ หรือสาหร่าย มาติดตามตัว เพื่อใช้พรางกายได้ดียิ่งขึ้น [2]

ปูกลุ่มหนึ่งวิวัฒนาการไปไกลกว่าพรรคพวก เขาเปลี่ยน ส่วนท้องให้นิ่ม และบิดเบี้ยวเพื่อสามารถ สอดใส่ในเปลือก หอย เสฉวนจะนำเปลือกหอยติดตัวไปด้วยตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนลอกคราบ ยามมีศัตรูมาเขาจะหดกายเข้าใน หอย ก่อนใช้ก้ามใหญ่และแข็งแรงปิดทางเข้า เวลาเดียว ที่ เสฉวนทิ้งหอย คือช่วงที่เขาตัวใหญ่เกินไป ต้องเสาะหาบ้าน ใหม่ [2]

อ้างอิง
1.^ Ng, P.K.L., Guinot, D. & P.J.F. Davie. Systema Brachyurorum: Part 1. An Annotated checklist of extant Brachyuran crabs of the world Raffles Bulletin of Zoology, 2008, 286pp.
2.^ 2.0 2.1 2.2 http://www.talaythai.com/marine_animal/crab/index.php3

น้ำ


น้ำ เป็นของเหลวชนิดหนึ่งซึ่งถ้าบริสุทธิ์จะไม่มีรส ไม่มีกลิ่น และไม่มีสี น้ำเป็นของเหลวที่มีอยู่มากที่สุดบนผิวโลก และเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่มนุษย์รู้จัก เราสามารถพบน้ำได้ในหลายๆ สถานที่ อาทิ ทะเล ทะเลสาบ แม่น้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง และในหลายๆ รูปแบบ เช่น น้ำแข็ง หิมะ ฝน ลูกเห็บ เมฆ และไอน้ำ

น้ำมีสมบัติเป็นตัวทำละลายที่ดีมาก เราจึงไม่ค่อยพบน้ำบริสุทธิ์ในธรรมชาติ ดังนั้นน้ำสะอาดที่เหมาะสมต่อการบริโภคของมนุษย์จึงเป็นทรัพยากรที่มีค่ายิ่ง ในบางประเทศปัญหาการขาดแคลนน้ำเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อสังคม และเศรษฐกิจของประเทศนั้นอย่างกว้างขวาง

รูปแบบของน้ำ
น้ำมีหลายรูปแบบ เช่น ไอน้ำและเมฆบนท้องฟ้า คลื่นและก้อนน้ำแข็งในทะเล ธารน้ำแข็งบนภูเขา น้ำบาดาลใต้ดิน ฯลฯ น้ำเปลี่ยนแปลงรูปแบบ สถานะ และสถานที่ของมันตลอดเวลา โดยผ่านกระบวนการกลายเป็นไอ ตกลงสู่พื้นดิน ซึม ชะล้าง และไหล ก่อให้เกิดการหมุนเวียนของน้ำบนผิวโลกเรียกว่าวัฏจักรของน้ำ

เนื่องจากการตกลงมาของน้ำมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเกษตรและต่อมนุษย์โดยทั่วไป มนุษย์จึงเรียกการตกลงมาของน้ำแบบต่างๆ ด้วยชื่อเฉพาะตัว ฝน ลูกเห็บ หมอก และน้ำค้างเป็นการตกลงมาของน้ำที่พบได้ทั่วโลก แต่หิมะและน้ำค้างแข็งมีเฉพาะในประเทศเขตหนาว รุ้งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อละอองน้ำในอากาศต้องแสงอาทิตย์ในมุมที่เหมาะสม

น้ำท่ามีความสำคัญต่อมนุษย์ไม่แพ้การตกลงมาของน้ำ มนุษย์ใช้การชลประทานผันน้ำจากแม่น้ำและแหล่งน้ำจืดอื่นๆ มาใช้ในการเกษตร แม่น้ำและทะเลเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญที่เปิดโอกาสมนุษย์ได้ท่องเที่ยวและทำการค้าขาย การชะล้างและการกัดกร่อนพื้นดินของน้ำทำให้เกิดภูมิประเทศ อาทิ หุบเขาและสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ซึ่งเป็นที่ราบที่มีดินอุดมสมบูรณ์เหมาะสมแก่การเพาะปลูกและการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์

น้ำยังซึมผ่านดินลงสู่ทางน้ำใต้ดิน น้ำใต้ดินเหล่านี้จะไหลกลับไปอยู่เหนือพื้นดินทางธารน้ำ หรือในบางภูมิประเทศเป็นธารน้ำร้อนหรือน้ำพุร้อน มนุษย์รู้จักนำน้ำใต้ดินมาใช้โดยการสร้างบ่อน้ำ

เนื่องจากน้ำเป็นตัวทำละลายพื้นฐาน สามารถละลายสารได้ ทั้ง 3 สถานะ ทั้ง ก๊าซ ของเหลว และของเเข็ง เพราะฉะนั้นเราจึงหาน้ำบริสุทธิ์ได้ยาก เพราะน้ำทั่วไปมีก๊าซ เกลือ และสารอื่นๆละลายปนอยู่ ส่วนมากที่พบคือ ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ โซเดียมคลอไรด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ฯ น้ำจากแหล่งต่างๆ จึงมีสี กลิ่น และรสต่างกันไป เพื่อความอยู่รอด มนุษย์และสัตว์ได้พัฒนาประสาทสัมผัสเพื่อแยกแยะน้ำที่ดื่มได้และดื่มไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น สัตว์บกส่วนมากจะไม่ดื่มน้ำทะเลที่มีรสเค็มและน้ำในบึงที่มีกลิ่นเน่าเหม็น แต่จะชอบน้ำบริสุทธิ์ที่มาจากน้ำพุหรือทางน้ำใต้ดิน

น้ำแร่


น้ำแร่ (Mineral Water) คือน้ำชนิดหนึ่งที่มีแร่ธาตุผสมในอัตราสูงกว่าน้ำปกติ ได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติ เป็นน้ำที่ผู้คนนำมาใช้ดื่มและอาบ โดยที่ผู้คนเชื่อว่าการดื่มน้ำแร่นั้นจะช่วยบำรุงสุขภาพ ซึ่งปัจจุบันได้มีผู้ผลิตน้ำดื่มหลายรายที่นำน้ำแร่ธรรมชาติมาบรรจุขวดเป็นสินค้าขาย (เป็นที่น่าแปลกว่าน้ำแร่เป็นน้ำที่ได้จากธรรมชาติ แต่ทำไมข้างขวดถึงมีการระบุวันหมดอายุ...เพราะว่า น้ำแร่ไม่ได้หมดอายุ แต่ที่หมดอายุนั้นคือ ตัวบรรจุภัณฑ์ที่เป็นพลาสติก) และการอาบน้ำแร่นั้นเชื่อว่าเป็นการช่วยในการบำรุงผิวพรรณ นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มีน้ำแร่เป็นส่วนประกอบ เช่น สเปรย์น้ำแร่ใช้ฉีดที่ผิวหน้า ซึ่งว่ากันว่ามีสรรพคุณในการทำให้หน้าสดชื่นและผ่อนคลายความตึงเครียด

นม


นม หมายถึงของเหลวสีขาวที่ประกอบด้วยสารอาหารที่ออกมาจากเต้านมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นมจะประกอบไปด้วยสารอาหารหลักที่จำเป็นสำหรับเด็กหรือสัตว์เกิดใหม่ ซึ่งนมสามารถนำไปสร้างผลิตภัณฑ์อื่นได้แก่ ครีม เนย โยเกิร์ต ไอศกรีม ชีส นอกจากนี้นมยังสามารถหมายถึงเครื่องดื่มอื่นที่นำมาใช้ทดแทนนม เช่น นมถั่วเหลือง นมข้าว นมข้าวโพด นมแอลมอนด์

สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่ให้นม อาทิเช่น มนุษย์ วัว ควาย แกะ แพะ ม้า ลา อูฐ จามรี ลามา เรนเดียร์ ฯลฯ โดยนมจากม้าและลาเป็นนมที่มีไขมันต่ำ ในขณะที่นมจากแมวน้ำจะมีไขมันสูงถึง 50% นอกจากนี้ในประเทศรัสเซียและประเทศสวีเดน มีการกินนมมูส

ไทยรัฐ


ไทยรัฐ
ประเภท หนังสือพิมพ์รายวัน
รูปแบบ หนังสือพิมพ์มวลชน
(Mass Newspaper)
เจ้าของ บริษัท วัชรพล จำกัด
บรรณาธิการ นายสราวุธ วัชรพล
ก่อตั้ง 25 ธันวาคม พ.ศ. 2505
สำนักงานใหญ่ เลขที่ 1 ถนนวิภาวดีรังสิต เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
เว็บไซต์: www.thairath.co.th

ไทยรัฐ เป็นหนังสือพิมพ์รายวันที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดในประเทศไทย (จำนวนพิมพ์ปัจจุบัน 1,000,000 ฉบับ) ออกวางจำหน่ายฉบับปฐมฤกษ์ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2505 โดยนายกำพล วัชรพล เป็นผู้ก่อตั้ง และหัวหน้ากองบรรณาธิการคนแรก

เดิมใช้ชื่อว่า “ข่าวภาพ” รายสัปดาห์, รายสามวัน และรายวัน [1] (9 มกราคม 2493-20 ตุลาคม 2501) และ “เสียงอ่างทอง” รายวัน [2] (1 พฤษภาคม 2502-24 ธันวาคม 2505)

ปัจจุบันมี บริษัท วัชรพล จำกัด เป็นเจ้าของ, นางยิ่งลักษณ์ วัชรพล เป็นผู้อำนวยการ, และนายสราวุธ วัชรพล เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการ

เดลินิวส์


เดลินิวส์
ประเภท หนังสือพิมพ์รายวัน
รูปแบบ ประชานิยม (Popular)
เจ้าของ บริษัท สี่พระยาการพิมพ์ จำกัด
บรรณาธิการ ประชา เหตระกูล
ก่อตั้ง พ.ศ. 2522
สำนักงานใหญ่ 1/4 ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร
เว็บไซต์: www.dailynews.co.th

เดลินิวส์ เป็นหนังสือพิมพ์รายวัน เสนอข่าวทั่วไป ก่อตั้งขึ้นโดย นายแสง เหตระกูล ออกฉบับปฐมฤกษ์ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 ใช้ชื่อหัวหนังสือพิมพ์ขณะนั้นว่า แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในราคา 1 บาท มี 16 หน้า โดยมีนายประพันธ์ เหตระกูล เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา

ในปี พ.ศ. 2508 ได้พัฒนาในด้านการพิมพ์เป็นระบบเว็บเพรส (Web Press) คือ การป้อนกระดาษม้วนเข้าแท่นพิมพ์ สามารถผลิตหนังสือพิมพ์ได้ 20,000 ฉบับ ในเวลา 1 ชั่วโมง ในขณะที่อัตราค่าโฆษณาสี่สี เวลานั้นหน้าละ 5,000 บาทต่อวัน และอัตราโฆษณาหน้าขาว-ดำ 20 บาทต่อ 1 คอลัมน์นิ้วต่อวัน

ต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2516-พ.ศ. 2517 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากการขึ้นราคาน้ำมันในตลาดโลก ส่งผลกระทบถึงการดำเนินธุรกิจหนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์รายวันเกือบทุกฉบับในเวลานั้น พร้อมกันขึ้นราคา จาก 1 บาท เป็น 1.50 บาท จึงมีการปรับปรุงคุณภาพ เนื้อหา

โดยในช่วงดังกล่าว ทีมข่าวการเมือง ได้ลงบทวิเคราะห์เจาะลึก หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา อย่างใกล้ชิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายสมัคร สุนทรเวช) และปลัดกระทรวงมหาดไทย ในยุคคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ได้ใช้อำนาจของเจ้าพนักงานการพิมพ์ ตามพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484 และอำนาจตามประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 42 สั่งลงโทษหนังสือพิมพ์แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในข้อหาเสนอข่าวขัดต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง โดยให้ปิดกิจการอย่างไม่มีกำหนด

แต่หลังจากนั้น 15 วัน จึงให้เปิดดำเนินการได้ และถือโอกาสนี้ปรับปรุงโฉมใหม่ ทั้งหัวหนังสือพิมพ์ จากพื้นสีบานเย็นตัวเจาะข่าวมาเป็นสีบานเย็นสดใส โดยเฉพาะฉบับวันอาทิตย์ ได้เพิ่มคอลัมน์ “บิวตี้ฟูลซันเดย์” และในวันจันทร์ ได้เพิ่มจำนวนหน้าขึ้น เรียกว่า ฉบับ “เก๋วันจันทร์”

ต่อมาในปี พ.ศ. 2521 นายประชา เหตระกูล ได้เข้ามารับผิดชอบ เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน และได้ยื่นขออนุญาตเปลี่ยนแปลงชื่อ จากแนวหน้าแห่งเดลินิวส์ มาอยู่ภายใต้ชื่อ เดลินิวส์ และได้รับอนุญาตจากทางราชการ ให้ใช้ชื่อ หนังสือพิมพ์รายวันเดลินิวส์ ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2522 เป็นต้นมา

และในวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2522 ได้ย้ายสำนักงานจากเลขที่ 423 ถนนสี่พระยา มาตั้งที่ สำนักงานเลขที่ 4/3 ถนนวิภาวดีรังสิต จนถึงปัจจุบัน

ในช่วงนี้ได้มีการพัฒนาโฉมหน้าใหม่ ทั้งรูปเล่มและเนื้อหา มีการเพิ่มหน้าจาก 16 หน้า เป็น 20 หน้า ในราคาเดิม ต่อมาในปี พ.ศ. 2522 ขยับราคาเป็น 2 บาท และขึ้นเป็น 3 บาท ในปี พ.ศ. 2523

ต่อมาในปี พ.ศ. 2539 ได้เพิ่มแท่นพิมพ์ระบบโฟร์ไฮ อีก 2 แท่น พิมพ์ได้ 92 หน้า ด้วยความเร็ว 50,000 ฉบับต่อชั่วโมง และมีการส่งข่าวผ่านทางวิทยุติดตามตัว เพื่อให้ได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างรวดเร็วพร้อมกันทั่วประเทศ และเริ่มส่งข่าวผ่านทาง Biznews เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2540

และในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541 เดลินิวส์ได้ขยายตัวสู่โลกอินเทอร์เน็ต เมื่อได้มีการจัดทำเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ขึ้น

ในปัจจุบัน เดลินิวส์ มีราคาจำหน่ายฉบับละ 8 บาท มีจำนวนหน้าทั้งสิ้น 40 หน้า และมียอดจำหน่ายเป็นอันดับสองของประเทศ รองจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2551

จังหวัดลำปาง

จังหวัดลำปาง
ถ่านหินลือชา รถม้าลือลั่น เครื่องปั้นลือนาม งามพระธาตุลือไกล ฝึกช้างใช้ลือโลก
ข้อมูลทั่วไป
ชื่อภาษาไทย ลำปาง
ชื่ออักษรโรมัน Lampang
ผู้ว่าราชการ นายดิเรก ก้อนกลีบ
(ตั้งแต่ พ.ศ. 2550)
ISO 3166-2 TH-52
ต้นไม้ประจำจังหวัด กระเจา
ดอกไม้ประจำจังหวัด ธรรมรักษา
ข้อมูลสถิติ
พื้นที่ 12,533.961 ตร.กม.
(อันดับที่ 10)
ประชากร 770,613 คน (พ.ศ. 2550)
(อันดับที่ 31)
ความหนาแน่น 61.48 คน/ตร.กม.
(อันดับที่ 67)
ศูนย์ราชการ
ที่ตั้ง ศูนย์ราชการจังหวัดลำปาง ถนนวชิราวุธดำเนิน ตำบลพระบาท อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง 52000

จังหวัดลำปาง เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคเหนือตอนบน ภูมิประเทศอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้และภูเขาสูง มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนาน มีชื่อเดิมว่า เขลางค์นคร เป็นที่รู้จักกันดีอีกชื่อหนึ่งว่า เมืองรถม้า

นครลำปางเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งในล้านนา เป็นจุดศูนย์รวมทางด้านศิลปะ วัฒนธรรม สถาปัตยกรรมล้านนาอันโดดเด่น สมัยกรุงศรีอยุธยา อาณาจักรล้านนารวมไปถึงนครลำปางได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่ามานานนับสองร้อยปี ดังนั้นสถาปัตยกรรม วัดวาอาราม โบราณสถานต่าง ๆ ในเมืองลำปางจึงได้รับอิทธิพลของศิลปะพม่าเห็นได้อย่างชัดเจน อาทิ วัดศรีชุม วัดพระแก้วดอนเต้าฯ ช่วงสมัยพม่าปกครองอาณาจักรล้านนารวมไปถึงเมืองลำปางไม่ได้สร้างคุณประโยชน์แก่บ้านเมือง มิหนำซ้ำยังกระทำการย่ำยีข่มเหงชาวบ้านจนทำให้ชาวเมืองเกลียดชังไปทั่ว จนกระทั่งได้เกิดวีรบุรุษผู้กล้าแห่งบ้านปกยางคก (ปัจจุบันอยู่อำเภอห้างฉัตร) นามว่า เจ้าพ่อทิพย์ช้าง ท่านได้รวบรวมชาวเมืองขับไล่พม่าพ้นเมืองลำปางได้สำเร็จ พร้อมกันนี้ชาวเมืองจึงพากันสถาปนาท่านขึ้นเป็นเจ้าเมืองลำปาง มีพระนามว่า พญาสุวฤๅไชยสงคราม เวลานั้นเมืองลำปางเป็นเมืองเดียวในล้านนาที่ปราศจากอำนาจปกครองจากพม่า

กาลเวลาต่อมาลูกหลานของท่านได้กอบกู้เอกราชขับไล่พม่าจากแผ่นดินล้านนา และได้เป็นเจ้าหลวงเชียงใหม่ ลำพูน น่าน และต้นตระกูลของท่านมีนามปรากฏในพงศาวดารว่าราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการปฏิรูประบอบการปกครองเป็นระบอบมณฑล เมืองลำปางขึ้นอยู่กับมณฑลพายัพ (เมืองเชียงใหม่) และมณฑลมหาราษฎร์ (เมืองแพร่) ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 6 ได้เปลี่ยนแปลงเป็นจังหวัด เมืองลำปางจึงมีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

พื้นที่
จังหวัดลำปาง มีพื้นที่ติดต่อกับจังหวัดอื่นๆ ดังนี้

ทิศเหนือ ติดกับ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และพะเยา
ทิศตะวันออก ติดกับจังหวัดพะเยา แพร่ และสุโขทัย
ทิศใต้ ติดกับ จังหวัดสุโขทัยและตาก
ทิศตะวันตก ติดกับ จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน และตาก

สัญลักษณ์ประจำจังหวัด

ดอกไม้ประจำจังหวัด: ดอกธรรมรักษา (Heliconia sp.)
ต้นไม้ประจำจังหวัด: กระเจา (Holoptelea integrifolia)
คำขวัญประจำจังหวัด: ถ่านหินลือชา รถม้าลือลั่น เครื่องปั้นลือนาม งามพระธาตุลือไกล ฝึกช้างใช้ลือโลก

หน่วยการปกครอง
การปกครองแบ่งออกเป็น 13 อำเภอ 100 ตำบล 855 หมู่บ้าน

อำเภอเมืองลำปาง
อำเภอแม่เมาะ
อำเภอเกาะคา
อำเภอเสริมงาม
อำเภองาว
อำเภอแจ้ห่ม
อำเภอวังเหนือ
อำเภอเถิน
อำเภอแม่พริก
อำเภอแม่ทะ
อำเภอสบปราบ
อำเภอห้างฉัตร
อำเภอเมืองปาน



เทศบาล
เทศบาลนครลำปาง อำเภอเมืองลำปาง
เทศบาลเมืองเขลางค์นคร อำเภอเมืองลำปาง
เทศบาลตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง
เทศบาลตำบลพิชัย อำเภอเมืองลำปาง
เทศบาลตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา
เทศบาลตำบลห้างฉัตร อำเภอห้างฉัตร
เทศบาลตำบลแจ้ห่ม อำเภอแจ้ห่ม
เทศบาลตำบลหลวงเหนือ อำเภองาว
เทศบาลตำบลเสริมงาม อำเภอเสริมงาม
เทศบาลตำบลวังเหนือ อำเภอวังเหนือ
เทศบาลตำบลบ้านใหม่ อำเภอวังเหนือ
เทศบาลตำบลล้อมแรด อำเภอเถิน
เทศบาลตำบลแม่ปุ อำเภอเถิน
เทศบาลตำบลแม่พริก อำเภอแม่พริก
เทศบาลตำบลเวียงมอก อำเภอเถิน
เทศบาลตำบลสบปราบ อำเภอสบปราบ
เทศบาลตำบลป่าตันนาครัว อำเภอแม่ทะ

การคมนาคม
ทางบก จังหวัดลำปางอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 600 กิโลเมตร การเดินทางทางบกสะดวกสบายมากจากกรุงเทพฯ จากเส้นทางสายเอเชีย ผ่าน พระนครศรีอยุธยา-นครสวรรค์-กำแพงเพชร-ตาก-เข้าสู่ลำปาง ถนนเป็นถนนสี่เส้นทางการจราจรตลอด ใช้เวลาเดินทางรถส่วนตัวประมาณ 7-8 ชั่วโมง รถบัสประจำทางจากกรุงเทพฯ-ลำปาง ขึ้นได้ที่สถานีหมอชิตใหม่ มีรถให้เลือกหลายบริษัทหลายระดับเช่นกัน ทั้ง บขส.สมบัติทัวส์ สยามเฟิสทัวร์ เมืองเหนือทัวร์ ฯลฯ
ทางรถไฟ นั่งรถไฟที่สถานีรถไฟหัวลำโพง มีรถไฟหลายชั้นหลายระดับให้เลือกตั้งแต่สปิ้นเตอร์-รถนอนปรับอากาศ-รถพัดลมธรรมดา ลงที่สถานีนครลำปาง
ทางอากาศ นั่งเครื่องบินใช้เวลา 1 ชั่วโมงเศษจากกรุงเทพฯ ลงที่สนามบินลำปางได้เลย หรือลงที่สนามบินเชียงใหม่ต่อรถอีก 1 ชั่วโมงก็จะถึงจังหวัดลำปาง

[แก้] การศึกษา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง
มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เขตพื้นที่การศึกษาลำปาง
สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตลำปาง
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช สาขาวิทยบริการลำปาง
มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์ลำปาง
มหาวิทยาลัยโยนก
โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย
โรงเรียนลำปางกัลยาณี
โรงเรียนเขลางค์นคร
โรงเรียนประชารัฐธรรมคุณ
โรงเรียนแจ้ห่มวิทยา
โรงเรียนวังเหนือวิทยา
โรงเรียนเถินวิทยา
โรงเรียนอัสสัมชัญลำปาง
โรงเรียนแม่สันวิทยา
โรงเรียนเสด็จวนชยางค์กูลวิทยา

พระอารามหลวง
วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม
วัดบุญวาทย์วิหาร
วัดจองคำ อำเภองาว
วัดพระเจดีย์ซาวหลัง
วัดพระธาตุลำปางหลวง

สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ
วัดพระแก้วดอนเต้า
วัดพระธาตุลำปางหลวง
ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย อำเภอห้างฉัตร
บ่อน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน
อุทยานแห่งชาติดอยขุนตาน ชายแดนติดต่อลำพูน-ลำปาง
ถ้ำผาไท อำเภองาว
วัดพระเจดีย์ซาวหลัง อำเภอเมือง
น้ำตกวังแก้ว อำเภอวังเหนือ
เขื่อนกิ่วลม ที่กั้นแม่น้ำวัง
ศาลเจ้าพ่อประตูผา อำเภองาว
ตลาดทุ่งเกวียน
สวนสาธารณะหนองกระทิง

อุทยานแห่งชาติทางบก
อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน
อุทยานแห่งชาติดอยหลวง อำเภองาว
อุทยานแห่งชาติดอยจง
อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท
อุทยานแห่งชาติแม่วะ
พื้นที่สงวนชีวมณฑลสวนสัก ห้วยทาก

ห้างสรรพสินค้า
เสรีสรรพสินค้า
บิ๊กซี
โลตัส

ประเพณีของจังหวัดลำปาง
ประเพณีแห่สลุงหลวง
ประเพณีสงกรานต์
ประเพณีขันโตกช้าง
งานเซรามิคแฟร์
งานหลวงเวียงละคอน

ชาวลำปางที่มีชื่อเสียง
ฯพณฯ บุญเท่ง ทองสวัสดิ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ตุ้ยตุ่ย พุทธชาด พงษ์สุชาติ ดารานักแสดง พิธีกร
กระแต นักร้อง
เรือตรีหญิงเกษราภรณ์ สุตา นักกีฬายกน้ำหนักหญิง เหรียญทองแดงโอลิมปิกเกมส์
น.ส.นันทนา คำวงษ์ นักกีฬาเทเบิลเทนนิสทีมชาติ
นายเทวฤทธิ์ มัจฉาชีพ นักกีฬายิงปืนทีมชาติ

คอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ (computer) คือ เครื่องมือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่มีความสามารถในการคำนวณอัตโนมัติตามคำสั่ง ส่วนที่ใช้ประมวลผลเรียกว่าหน่วยประมวลผล ชุดของคำสั่งที่ระบุขั้นตอนการคำนวณเรียกว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้นอาจเป็นได้ทั้ง ตัวเลข ข้อความ รูปภาพ เสียง หรืออยู่ในรูปอื่น ๆ อีกมากมาย

ลักษณะทางกายภาพของคอมพิวเตอร์นั้นมีหลากหลาย มีทั้งขนาดที่ใหญ่มากจนต้องใช้ห้องทั้งห้องในการบรรจุ และขนาดเล็กจนวางได้บนฝ่ามือ การจัดแบ่งประเภทของคอมพิวเตอร์สามารถจัดแบ่งได้ตามขนาดทางกายภาพเป็นสำคัญ ซึ่งมักจะแปลผันกับประสิทธิภาพความเร็วในการประมวลผล โดยขนาดคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเรียกว่า ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ใช้กับการคำนวณผลทางวิทยาศาสตร์ ขนาดรองลงมาเรียกว่า เมนเฟรม มักใชัในบริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องมีการประมวลผลธุรกรรมทางธุรกิจจำนวนมากๆ สำหรับคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่ใช้ในระดับบุคคลเรียกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่พกพาได้เรียกว่า คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค ส่วนคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่สามารถวางบนฝ่ามือได้เรียกว่า พีดีเอ อย่างไรก็ตามคอมพิวเตอร์มีใช้กันอย่างกว้างขวางมาก ซึ่งมีอุปกรณ์หลายๆชนิดได้นำคอมพิวเตอร์ไปใช้เป็นกลไกหลักในการทำงาน เช่น กล้องดิจิทัล เครื่องเล่นเอ็มพีสาม หรือในรถยนต์เองก็มีคอมพิวเตอร์ที่ใช้ช่วยในการตรวจสอบระบบการทำงานของเครื่องยนต์

ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์โดยรวมแล้ววัดกันที่ความเร็วการประมวลผล ซึ่งตามกฏของมัวร์ (Moore's Law) คอมพิวเตอร์จะเพิ่มประสิทธิภาพเป็นเท่าทวีคูณในทุกปี

คอมพิวเตอร์ยังมีคำไทยคำอื่นคือ คณิตกรณ์ ด้วย

ประวัติของคอมพิวเตอร์

อีนิแอก คอมพิวเตอร์ที่เคยได้ชื่อว่า เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาดูบทความหลักที่ ประวัติและความเป็นมาของคอมพิวเตอร์
ช่วงปี ค.ศ. 1930 ถึงช่วงปี ค.ศ. 1940 เป็นช่วงที่โลกได้มีคอมพิวเตอร์ที่สามารถโปรแกรมได้และคำนวณผลลัพธ์ได้มีประสิทธิภาพจริง แต่เป็นการยากที่จะตัดสินได้ว่าคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกENIAC (Electronics Numerical Integrator and Computer) เกิดขึ้นในปี1946 และประดิษฐ์โดยจอห์น ดับลิว มอชลีย์ (John W. Mauchly) และ เจ เพรสเพอร์ เอคเกิรต (J. Prespern Eckert)ทำงานโดยใช้หลอดสุญญากาศจำนวน 18,000 หลอด มีน้ำหนัก 30 ตัน ใช้เนื้อที่ห้อง 15,000 ตารางฟุต เวลาทำงานต้องใช้กำลังไฟถึง 140 กิโลวัตต์ คำนวณในระบบเลขฐานสิบ

ค.ศ. 1936 เป็นครั้งแรกที่โลกได้มีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่สามารถตั้งโปรแกรมได้อย่างอิสระ ผู้พัฒนาคือ Konrad Zuse และชื่อคอมพิวเตอร์คือ Z1 Computer
ค.ศ. 1942 จอห์น อตานาซอฟฟ์ และ คลิฟฟอร์ด เบอร์รี ที่ มหาวิทยาลัยไอโอวาสเตต ได้ร่วมกันสร้าง คอมพิวเตอร์ อตานาซอฟฟ์-เบอร์รี ซึ่งสามารถประมวลผลเลขฐานสอง
ค.ศ. 1946 John Presper Eckert และ John W. Mauchly ได้ร่วมกันสร้างอีนิแอก ซึ่งใช้หลอดสูญญากาศจำนวน 20,000 หลอด เพื่อสร้างหน่วยประมวลผล และถือได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกสำหรับการใช้งานทั่วไป โดยมีการประมวลผลแบบทศนิยม โดยหากต้องการตั้งโปรแกรมจะต้องต่อสายเชื่อมต่อเครื่องอุปกรณ์ใหม่ทั้งหมด
ค.ศ. 1948 Frederic Williams และ Tom Kilburn สร้างคอมพิวเตอร์ที่ใช้ หลอดรังสีคาโทด เป็นหน่วยความจำ
ค.ศ. 1947 ถึง 1948 John Bardeen, Walter Brattain และ Wiliam Shockley สร้างคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทราสซิสเตอร์ ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่สำคัญ
ค.ศ. 1951 John Presper Eckert และ John W. Mauchly ได้พัฒนา UNIVAC Computer ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่มีการขาย
ค.ศ. 1953 ไอบีเอ็ม (IBM) ออกจำหน่าย EDPM เป็นครั้งแรก และเป็นก้าวแรกของไอบีเอ็มในธุรกิจคอมพิวเตอร์
ค.ศ. 1954 John Backus และ IBM ร่วมกันสร้างภาษาคอมพิวเตอร์ชื่อ FORTRAN ซึ่งเป็นภาษาระดับสูง (high level programming language) ภาษาแรกในประวัติศาสตร์คอมพิวเตอร์
ค.ศ. 1955 (ใช้จริง ค.ศ. 1959) สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด, ธนาคารแห่งชาติอเมริกา, และ บริษัทเจเนอรัลอิเล็กทริก ร่วมกันสร้าง ERMA และ MICR ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในธุรกิจธนาคาร
ค.ศ. 1958 Jack Kilby และ Robert Noyce เป็นผู้สร้าง Integrated Circuit หรือ ชิป(Chip) เป็นครั้งแรก
ค.ศ. 1962 สตีฟ รัสเซลล์ และ เอ็มไอที ได้พัฒนาเกมคอมพิวเตอร์เป็นครั้งแรกของโลกชื่อว่า "Spacewar"
ค.ศ. 1964 Douglas Engelbart เป็นผู้ประดิษฐ์เมาส์ และ ระบบปฏิบัติการแบบวินโดวส์
ค.ศ. 1969 เป็นปีที่กำเนิด ARPAnet ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต
ค.ศ. 1970 อินเทล] พัฒนาหน่วยความจำชั่วคราวของคอมพิวเตอร์หรือ RAM เป็นครั้งแรก
ค.ศ. 1971 Faggin, Hoff และ Mazor พัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลกให้อินเทล (Intel)
ค.ศ. 1971 Alan Shugart และ IBM พัฒนา ฟลอปปี้ดิสก์ เป็นครั้งแรก
ค.ศ. 1973 Robert Metcalfe และ Xerox ได้พัฒนาระบบอีเทอร์เน็ต (Ethernet) สำหรับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ค.ศ. 1974 ถึง ค.ศ. 1975 Scelbi และ Mark-8 Altair และ IBM ร่วมกันวางจำหน่ายคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ใช้รายย่อยเป็นครั้งแรก
ค.ศ. 1976 ถึง ค.ศ. 1977 ถือกำเนิด Apple I, II และ TRS-80 และ Commodore Pet Computers ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่นแรกๆ ของโลก
ค.ศ. 1981 ไมโครซอฟท์ วางจำหนาย MS-DOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมที่สุดในช่วงนั้น
ค.ศ. 1983 บริษัทแอปเปิล ออกคอมพิวเตอร์รุ่น Apple Lisa ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่ใช้ระบบ GUI
ค.ศ. 1984 บริษัทแอปเปิล วางจำหน่ายคอมพิวเตอร์รุ่น แอปเปิล แมคอินทอช ซึ่งทำให้มีการใช้คอมพิวเตอร์อย่างกว้างขวาง
ค.ศ. 1985 ไมโครซอฟท์ วางจำหน่าย ไมโครซอฟท์ วินโดวส์ เป็นครั้งแรก

ลักษณะเด่นของคอมพิวเตอร์
ความเป็นอัตโนมัติ(Self Acting)
ความเร็ว(Speed)
ความถูกต้องแม่นยำ(Accuracy)
ความน่าเชื่อถือ(Reliability)
การจัดเก็บข้อมูล(Storage Capability)
ทำงานซ้ำๆได้(Repeatability)
การติดต่อสื่อสาร(Communication)

ประเภทของคอมพิวเตอร์
ในปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ได้ใช้วงจรเบ็ดเสร็จขนาดใหญ่มาก (very large scale integrated circuit) ซึ่งสามารถบรรจุทรานซิสเตอร์ได้มากกว่าสิบล้านตัว เราสามารถแบ่งคอมพิวเตอร์ในรุ่นปัจจุบันออกเป็น 4 ประเภทดังต่อไปนี้


ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (supercomputer)
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ถือได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วมาก และมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์ชนิดอื่น ๆ เครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีราคาแพงมาก มีขนาดใหญ่ สามารถคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้หลายแสนล้านครั้งต่อวินาที และได้รับการออกแบบ เพื่อให้ใช้แก้ปัญหาขนาดใหญ่มากทางวิทยาศาสตร์และทางวิศวกรรมศาสตร์ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การพยากรณ์อากาศล่วงหน้าเป็นเวลาหลายวัน การศึกษาผลกระทบของมลพิษกับสภาวะแวดล้อมซึ่งหากใช้คอมพิวเตอร์ชนิดอื่นๆ แก้ไขปัญหาประเภทนี้ อาจจะต้องใช้เวลาในการคำนวณหลายปีกว่าจะเสร็จสิ้น ในขณะที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์สามารถแก้ไขปัญหาได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เนื่องจากการแก้ปัญหาใหญ่ ๆ จะต้องใช้หน่วยความจำสูง ดังนั้น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์จึงมีหน่วยความจำที่ใหญ่มาก ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีหลายประเภท ตั้งแต่รุ่นที่มีหน่วยประมวลผล (processing unit) 1 หน่วย จนถึงรุ่นที่มีหน่วยประมวลผลหลายหมื่นหน่วยซึ่งสามารถทำงานหลายอย่างได้พร้อม ๆ กัน


เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer)
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ มีสมรรถภาพที่ต่ำกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์มาก แต่ยังมีความเร็วสูง และมีประสิทธิภาพสูงกว่ามินิคอมพิวเตอร์หรือไมโครคอมพิวเตอร์ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์สามารถให้บริการผู้ใช้จำนวนหลายร้อยคนพร้อม ๆ กัน ฉะนั้น จึงสามารถใช้โปรแกรมจำนวนนับร้อยแบบในเวลาเดียวกันได้ โดยเฉพาะถ้าต่อเครื่องเข้าเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สามารถใช้ได้จากทั่วโลก ปัจจุบัน องค์กรใหญ่ๆ เช่น ธนาคาร จะใช้คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ในการทำบัญชีลูกค้า หรือการให้บริการจากเครื่องฝากและถอนเงินแบบอัตโนมัติ (automatic teller machine) เนื่องจากเครื่องเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ถูกใช้งานมากในการบริการผู้ใช้พร้อม ๆ กัน เมนเฟรมคอมพิวเตอร์จึงต้องมีหน่วยความจำที่ใหญ่มาก


มินิคอมพิวเตอร์ (minicomputer)
มินิคอมพิวเตอร์ คือ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ๆ ซึ่งสามารถบริการผู้ใช้งานได้หลานคนพร้อม ๆ กัน แต่จะไม่มีสมรรถภาพเพียงพอที่จะบริการผู้ใช้ในจำนวนที่เทียบเท่าเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ จึงทำให้มินิคอมพิวเตอร์เหมาะสำหรับองค์กรขนาดกลาง หรือสำหรับแผนกหนึ่งหรือสาขาหนึ่งขององค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น


ไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer) หรือ พีซี (personal computer หรือ PC )
ไมโครคอมพิวเตอร์ คือ คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กแบบขนาดตั้งโต๊ะ (desktop computer) หรือขนาดเล็กกว่านั้น อาทิเช่น ขนาดสมุดบันทึก (notebook computer) และขนาดฝ่ามือ (palmtop computer) ไมโครคอมพิวเตอร์ได้เริ่มมีขึ้นในปีพ.ศ. 2518 ถึงแม้ว่าในระยะหลัง เครื่องชนิดนี้จะมีประสิทธิภาพที่สูง แต่เนื่องจากมีราคาไม่แพงและมีขนาดกระทัดรัด ไมโครคอมพิวเตอร์จึงยังเหมาะสำหรับใช้ส่วนตัว ไมโครคอมพิวเตอร์ได้ถูกออกแบบสำหรับใช้ที่บ้าน โรงเรียน และสำนักงานสำหรับที่บ้าน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการทำงบประมาณรายรับรายจ่ายของครอบครัวช่วยทำการบ้านของลูกๆ การค้นคว้าข้อมูลและข่าวสาร การสื่อสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ (electronic mail หรือ E - mail) หรือโทรศัพท์ทางอินเทอร์เน็ต (internet phone) ในการติดต่อทั้งในและนอกประเทศ หรือแม้กระทั่งทางบันเทิง เช่น การเล่นเกมบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ สำหรับที่โรงเรียน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยสอนนักเรียนในการค้นคว้าข้อมูลจากทั่วโลกสำหรับที่สำนักงาน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยพิมพ์จดหมายและข้อมูลอื่นๆ เก็บและค้นข้อมูล วิเคราะห์และทำนายยอดซื้อขายล่วงหน้า

คอมพิวเตอร์ทำงานอย่างไร

คอมพิวเตอร์ในยุคแรกๆเช่น ENIAC เวลาโปรแกรมต้องใช้วิธีการเปลี่ยนสายเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นวิธีการที่ยุ่งยากมาก จึงเกิดแนวคิดว่าตัวโปรแกรมน่าจะจัดเก็บอยู่ในส่วนที่สามารถปรับเปลี่ยนแก้ไขได้ง่าย เป็นที่มาของแนวคิดที่ทำการจัดเก็บข้อมูลต่างๆรวมถึงโปรแกรมไว้ใน หน่วยความจำ หรือ memory ทำให้คอมพิวเตอร์จะได้รับคำสั่งโดยการอ่านคำสั่งจากหน่วยความจำ และการปรับเปลี่ยนโปรแกรมสามารถทำได้โดยการเปลี่ยนแปลงค่าภายในหน่วยความจำ

แนวคิดข้างต้นรู้จักในชื่อว่า "Stored-Program Concept" หรือ อีกชื่อว่าสถาปัตยกรรม von Neumann โดยเข้าใจว่า J. Presper Eckert และ John William Mauchly ซึ่งเป็นนักออกแบบ ENIAC เป็นผู้คิดค้นขึ้น

แนวคิดการทำงานแบบ Stored-Program ถูกใช้เป็นแนวคิดหลักของการทำงานในคอมพิวเตอร์จนถึงปัจจุบัน โดยแนวคิดนี้จะแบ่งการทำงานของคอมพิวเตอร์เป็น 4 ส่วนหลักได้แก่

หน่วยประมวลผลในรูปแบบข้อมูล Binary หรือที่เรียกว่า Arithmetic-Logical Unit (ALU) เปรียบเสมือนหัวใจของคอมพิวเตอร์ หน้าที่หลักของมันคือทำการประมวลผลทางคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐานอันได้แก่การบวกและลบ และการทำการเปรียบเทียบข้อมูลสองข้อมูลว่ามีค่าเท่ากันหรือไม่ถ้าไม่จะมีค่ามากกว่าหรือน้อยกว่า
หน่วยความจำ หรือ Memory ใช้สำหรับเก็บข้อมูล (Data) และ คำสั่ง (Instructions) โดยข้อมูลภายในหน่วยความจำจะถูกแบ่งเป็นส่วนๆเล็กๆเท่าๆกัน แต่ละส่วนมีที่อยู่(address) เพื่อใช้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกจัดเก็บเอาไว้
อุปกรณ์อินพุตและเอาต์พุต หรือ I/O Device เป็นส่วนที่ใช้นำข้อมูลจากโลกภายนอกเข้ามาภายในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อนำมาประมวลผล และเมื่อได้ผลลัพธ์ก็จะนำข้อมูลที่ได้มาแสดงผลให้โลกภายนอกคอมพิวเตอร์ได้รับทราบ
หน่วยควบคุมการทำงาน หรือ Control Unit เป็นส่วนที่ใช้เชื่อมต่อแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน หน้าที่หลักๆคือทำการอ่านข้อมูลคำสั่งที่อยู่ภายในหน่วยความจำหรือที่ได้จากอุปกรณ์อินพุต ทำการแปลความหมายและส่งไปประมวลผลใน ALU จากนั้นนำผลที่ได้ไปจัดเก็บในหน่วยความจำหรืออุปกรณ์เอาต์พุต หน้าที่หลักอีกประการ คือควบคุมลำดับการทำงานของแต่ละขั้นตอนให้อยู่ในเวลาที่เหมาะสม

หน่วยประมวลผล
การทำงานของหน่วยประมวลผลกลาง หน่วยประมวลผล จะรับคำสั่งและข้อมูลจากหน่วยความจำ โดยส่งเข้าที่ Queue Prefetch Unit จะตรวจสอบว่า ค่าใน Queue เป็นคำสั่งหรือไม่ ถ้าเป็นคำสั่งจะสั่งให้ Bus Interface Unit(BIU) ส่งค่าของคำสั่งไปที่ Decode Unit ถ้าเป็นค่าที่อยู่(Address)ของหน่วยความจำ จะถูกส่งไปที่ Segment and Paging Unit Segment and Paging Unit จะแปลงที่อยู่ของหน่วยความจำ จากที่อยู่เสมือน(Virtual Address)ในรูปแบบของ segment : offset ให้กลายเป็นที่อยู่จริง(Physical Address)ที่ Bus Interface Unit เข้าใจ หน่วยถอดรหัส(Decode Unit) จะตรวจสอบและแยกแยะคำสั่ง แล้วแปลคำสั่ง และส่งสัญญาณควบคุมไปให้ Execution Unit ทำงานตามคำสั่งนั้น ใน Execution Unit จะประกอบด้วย

Control Unit(CU)จะทำหน้าที่ควบคุมการทำงานภายในโปรเซสเซอร์เป็นตัวสั่งงาน Unit อื่นๆตามคำสั่งที่แปลจาก Decode Unit Protection Test Unit จะป้องกันและตรวจสอบการทำงานของส่วนต่างๆ ไม่ให้ทำผิดกฏเกณฑ์ จนเกิดข้อผิดพลาดขึ้น Register จะทำหน้าที่เก็บค่าชั่วคราวก่อนและหลังการประมวลเพื่อส่งให้ส่วนอื่นๆต่อไป เป็นเหมือนกระดาษทดชัว่คราว สำหรับ ALU Arithmetic Logic Unit(ALU) เป็นส่วนการคำนวณทางคณิตศาสตร์และหาค่าตรรกะของการเปรียบเทียบ

เมื่อ ALU คำนวณหรือเปรียบเทียบค่าเรียบร้อยแล้ว จะส่งไปเก็บไว้ที่ Register แล้ว Control Unit จะสั่งให้ BIU เก็บค่าผลลัพธ์ลงในหน่วยความจำ โดยแปลงที่อยู่เสมือนที่ Control Unit กำหนด ให้กลายเป็น ที่อยู่จริงของหน่วยความจำที่จะนำผลลัพธ์ไปเก็บไว้


หน่วยความจำ
หน่วยความจำเป็นพื้นที่การทำงานและเป็นพื้นที่การจัดเก็บข้อมูลของคอมพิวเตอร์ เพราะคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานตามลำพังโดยอาศัยเพียงหน่วยประมวลผลหลักได้ หน่วยความจำแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ หน่วยความจำชั่วคราว คือ แรม (RAM: Random Access Memory) โดยแรมจะเป็นหน่วยความจำที่ใช้ขณะคอมพิวเตอร์ทำงาน และจะหายไปเมื่อปิดเครื่อง อีกชนิดหนึ่งคือหน่วยความจำถาวร หรือหน่วยความจำหลัก ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ Hard Disk ที่ใช้ในการเก็บข้อมูล และ รอม (ROM: Read Only Memory) ที่ใช้ในการเก็บค่าไบออส หน่วยความจำถาวรจะใช้ในการเก็บข้อมูลของเครื่องคอมพิวเตอร์และจะไม่สูญหายเมื่อปิดเครื่อง

ข้อแตกต่างของหน่วยความจำคือ หน่วยความจำแบบชั่วคราวจะมีความเร็วในการถ่ายข้อมูลสูง แต่ความจำน้อย เมื่อเกิดการทำงานของโปรแกรมมากๆ จึงต้องส่งผ่านข้อมูลลงหน่วยความจำถาวร ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการแฮ็ง (hang

ตัวอย่างประโยชน์ของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์มีประโยชน์กับเรามากมาย เช่น

การใช้งานภาครัฐ งานทะเบียนราษฎร์ของรัฐบาล เช่น การแจ้งเกิด ตาย ย้ายที่อยู่ การทำบัตรประจำตัวประชาชน
การใช้งานทางด้านธุรกิจทั่วไป งานทำบัญชี รายการซื้อขาย งานเรียบเรียงเอกสาร งานประมวลคำ
งานสายการบิน การสำรองที่นั่งผู้โดยสาร การลดงานเอกสาร
ทางด้านการศึกษา สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การเรียนออนไลน์ให้กับผู้เรียนที่อยู่ห่างไกล
ธุรกิจการนำเข้าสินค้าและส่งออก การทำธุรกิจแบบพานิชอิเล็กทรอนิกส์
ธุรกิจธนาคาร ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ การทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์มือถือ
วิทยาศาสตร์และการแพทย์ การเก็บข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการรักษาของคนไข้ วิจัย คำนวณและการจำลองแบบ

กบ

กบ
?การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์[ซ่อน]
อาณาจักร Animalia
ไฟลัม Chordata
ชั้น Amphibia

อันดับ Anura
วงศ์ Ranidae

กบ (Frog) เป็นสัตว์สี่เท้าจำพวกสะเทินน้ำสะเทินบก หรือเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่าสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ กบจัดอยู่ในวงศ์รานิดี (Ranidae) สกุลรานา (Rana) ผิวหนังขรุขระ ไม่มีขนและเกล็ด ที่บริเวณผิวหนังของกบจะมีต่อมเมือกและน้ำใส ๆ เพื่อช่วยให้ผิวหนังของกบนั้น มีความชุ่มชื่นอยู่เสมอ กบไม่มีคอและหางซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการว่ายน้ำ มีขา 2 คู่ ขาด้านหน้ามีขนาดเล็กและสั้น มีนิ้วเท้าสี่นิ้วที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน โดยนิ้วที่หนึ่งหรือนิ้วหัวแม่มือ มีลักษณะเป็นตุ่มขนาดเล็ก ขาคู่หลังมีมัดกล้ามเนื้อที่มีความแข็งแรง คอยประคองและค้ำจุนให้กบสามารถกระโดดไปด้านหน้าได้อย่างรวดเร็ว มีข้อเท้าขนาดยาวช่วยในการกระโดด ระหว่างนิ้วเท้าทั้งห้าของขาคู่หน้าและหลัง มีหนังบาง ๆ เป็นแผ่น ๆ ยึดติดกันใช้สำหรับว่ายน้ำ

[แก้] ลักษณะทั่วไป
กบเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ อาศัยอยู่ในบริเวณแหล่งน้ำตื้น ๆ หรือแอ่งน้ำเล็ก ๆ มีหัวลักษณะคล้ายรูปทรงสามเหลี่ยม มีสัณฐานค่อนข้างแบนเรียบ ปากกว้าง นัยน์ตากลมโตและโปนโดยบริเวณหนังตามีแผ่นเนื้อเยื่อบาง ๆ ซึ่งจะทำหน้าที่เปิดและปิดนัยน์ตาดำของกบ มีหูอยู่บริเวณด้านหลังของนัยน์ตาที่มีลักษณะเป็นแอ่งกลม ๆ ทำหน้าที่เหมือนกับแก้วหูของมนุษย์ มีรูจมูกสองรูอยู่ด้านหน้าของนัยน์ตา ภายในปากมีฟันขนาดไล่เลี่ยกันคล้ายกับซี่เลื่อย ลิ้นมีปลายแยกออกเป็นสองแฉก ใช้สำหรับจับแมลงและสัตว์อื่นเป็นอาหาร หายใจโดยใช้ปอดและสามารถหายใจได้ทางผิวหนัง

กบกลายเป็นที่นิยมบริโภคกันมากในปัจจุบัน เนื่องจากเนื้อกบมีโปรตีนที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ทุกส่วนของร่างกายสามารถนำไปทำประโยชน์ได้หลากหลายชนิด เช่น หนังกบสามารถนำไปทำกระเป๋า รองเท้า เครื่องดนตรี และของชำร่วยต่าง ๆ ส่วนหัว อวัยวะระบบทางเดินอาหารและกระดูกที่ตัดชำแหละแล้ว นำไปใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ได้ ปัจจุบันกบได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงในการเกษตรของเกษตรกร

ตลาดต่างประเทศ
ได้มีบริษัทเอกชนรวบรวมซื้อกบจากแหล่งต่างๆเพื่อส่งไปจำหน่ายต่างประเทศ ตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย คือ ฮ่องกง นำเข้ากบประมาณร้อยละ 99.6 ของมูลค่าส่งออกกบของไทย ส่วนประเทศที่นำเข้าเนื้อกบที่สำคัญของโลกในปัจจุบัน ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม สหรัฐอาหรับเอมิเรต และเยอรมันตะวันตก การส่งออกจะทำทั้งในสภาพกบที่ยังมีชีวิตที่มีขนาดน้ำหนักตัวประมาณ 200 - 300 กรัม และในรูปของขาหลังกบแช่แข็งที่มีขนาดน้ำหนัก 25 - 30 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวทั้งหมด ส่วนหนังกบก็มีการส่งออกด้วยเช่นกัน ประโยชน์ทางตรงของการเลี้ยงกบ
1.เป็นอุปกรณ์ทางการศึกษาทางการแพทย์ การวิจัย ทางชีววิทยา และการทดลองทางวิทยาศาสตร์
2.ให้ความเพลิดเพลิน
3.เป็นอาหารและเพิ่มพูนรายได้ให้กับครอบครัวและประเทศชาติ
4.ใช้ประโยชน์จากหนังและอวัยวะอื่น ๆ

ประโยชน์ทางอ้อม
1.ได้ประโยชน์จากระบบนิเวศวิทยา โดยช่วยทำลายแมลง ศัตรูพืช ยุง บุ้ง ฯลฯ
2.ใช้กระดูกทำปุ๋ย

กบในประเทศไทย
กบที่พบในประเทศไทยมี 38 ชนิด แต่ที่พบทั่วๆไป มีดังนี้ คือ

1.กบบัว มีขนาดเล็กสีน้ำตาลอ่อน ขนาดโตเต็มที่ยาวประมาณ 2 นิ้ว น้ำหนัก ตัวประมาณ 30 ตัว ต่อหนึ่งกิโลกรัม
2.กบนา มีขนาดกลาง สีน้ำตาลปนดำ ขนาดโตเต็มที่ยาวประมาณ 4 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 6 ตัว ต่อหนึ่งกิโลกรัม
3.กบจาน มีขนาดใหญ่ สีน้ำตาลปนเขียว ขนาดโตเต็มที่ยาวประมาณ 5 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 4 ตัว ต่อหนึ่งกิโลกรัม
4.กบภูเขา หรือ เขียดแลว เป็นกบที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ชาวบ้านนิยมจับมาบริโภคกันมาก โดยเฉพาะที่แม่ฮ่องสอน .5.กบภูเขาอยู่ใน สภาพธรรมชาติมีปริมาณลดน้อยลงทุกที

ผึ้ง

ผึ้ง
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์[แสดง]
อาณาจักร Animalia
ไฟลัม Arthropoda
ชั้น Insecta

อันดับ Hymenoptera
อันดับย่อย Apocrita
วงศ์ ไม่จัดอันดับ Anthophila ( = Apiformes)
วงศ์ใหญ่ Apoidea

ผึ้ง (Bee) จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไฟลัมอาร์โธรพอด จัดเป็นแมลงชนิดหนึ่ง อาศัยรวมกันอยู่เป็นฝูง โดยส่วนใหญ่จะออกหาอาหารเป็นน้ำหวานจากเกษรของดอกไม้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อพืชในการผสมพันธุ์เกษรของดอกไม้ และทำงานกันเป็นระบบ มีราชินีผึ้งเป็นหัวหน้าใหญ่

มด

มด
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์[แสดง]
อาณาจักร Animalia
ไฟลัม Arthropoda
ชั้น Insecta

อันดับ Hymenoptera
อันดับย่อย Apocrita
วงศ์ใหญ่ Vespoidea
วงศ์ Formicidae
Latreille, 1809

มด (Ant) ถูกจัดอยู่ในวงศ์ Formicidae อันดับ Hymenoptera มีจำนวนชนิดมากกว่า 12,000 ชนิด โดยพบมากในประเทศเขตร้อน มดมีการสร้างรังเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่ บางรังมีจำนวนประชากรมากถึงล้านตัว มีการแบ่งวรรณะกันทำหน้าที่คือ วรรณะมดงาน เป็นมดเพศเมียเป็นหมัน ทำหน้าที่หาอาหาร สร้างและซ่อมแซมรัง ปกป้องรังจากศัตรู ดูแลตัวอ่อน และอื่นๆอีกมากมาย เป็นวรรณะที่พบได้มากที่สุด วรรณะสืบพันธุ์ เป็นมดเพศผู้ และราชินี เพศเมีย มีหน้าที่สืบพันธุ์

โครงสร้างของมด
โครงสร้างของมดนั้นแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหัว ส่วนกลาง และส่วนท้อง

1 ส่วนหัว ส่วนหัวของมด มีหลายรูปร่าง เช่น รูปร่างห้าเหลี่ยม รูปร่างมังกรต หรือวงรี ซึ่งมีส่วนที่สำคัญอีกคือ

- หนวด หนวดของมดนั้นแตกต่างจากแมลงกลุ่มอื่น คือ หนวดของมดจะม้วนเข้าศอก เว้นแต่มดสายพันธุ์ Fomisintos ที่จะมีลักษณะการม้วนหนวดเหมือนแมลงชนิดอื่นๆ หนวดมด มีหน้าที่รับรู้สื่อสารและรายงานสถาณภาพต่างๆของบริเวณนั้นๆ ในการสื่อสารมดจะใช้หนวดมาสัมพัมผัสกันเป็นการสื่อสารแบบ ลอย (Emando) หนวดของมดจะแบ่งออกเป็นปล้องๆ ซึ่งแล้วแต่ประเภท วรรณะของมด ซึ่งแบ่งออกดังนี้

มดราชินี (Queen Ant) มีหนวดประมาณ 210-254 ปล้อง

มดเพศผู้ (Male Ant) มีหนวดประมาณ 117-163 ปล้อง

มดเพศเมีย (Female Ant) มีหนวดประมาณ 131-155 ปล้อง

มดงาน (Worker Ant) มีหนวดประมาน 83 -117 ปล้อง

- ตา แบ่งได้เป็นสองประเภทคือ ตารวมและ ตาเดี่ยว

ตารวม คือ ตาที่มีอยู่เป็นคู่ อาจมีลักษะอื่นๆด้วย เช่น ตาเป็นมี ตา 2คู่ และไม่จำเป็นต้องอยู่บริเวณข้างหน้าเสมอไป มดส่วนใหญ่จะมีตาเป็นประเภทตารวม

ตาเดี่ยว คือ ตาที่ไม่ใช่คู่ ส่วนใหญ่ จะมีสามตา และอยู่บริเวณล่างของหนวด

- ปาก ปากของมดจะมีอยู่สองลักษณะ คือ แบบกัดกิน (Thorix) และปากแบบลักษะดูด (Thorase)

ปากแบบกัดกิน จะมีลักษณะเป็นฟันสองซี่ จะคมมาก พบได้ในมดงาน

ปากแบบลักษณะดูด จะมีไวสำหรับ ดูน้ำหวาน ตามเกสร พบในมดเพศเมีย และมดราชินี

2 ส่วนกลาง ส่วนกลางเป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่าง ส่วนท้อง และส่วนหัว โดยมากจะเป็นทรงกระบอก อาจมีตุ่มหนามอยู่ด้วย

3 ส่วนท้อง เป็นส่วนที่อยู่ท้ายสุดของมด บางชนิดจะแตกออกเป็น 2 ส่วน เรียกว่า Wasted twin ซึ่งมดบางชนิดอาจมีเหล็กใน และบางชนิดก็มีช่องไว้ปล่อยสารป้องกันตัว

Number Surprise จากComputer Today

-22% ของวินโดวส์ในโลกนี้ "เถื่อน"
-ใช้ Core 2 Duo ประหยัดไฟกว่า 30%
-ตัวอักษรAในคอมพิวเตอร์ถูกเก็บไว้ด้วยตัวเลข 00101010
-อีเมล์ที่ส่งกันเเต่ละวัน 94% เป็นอีเมล์ขยะ
-ต้องใช้เวลา 9305ปี ถึงจะดูคลิปใน YouTubeหมด
-การวิ่งฝ่าฝนตัวจะเปียกมากกว่าการยืนเฉยๆถึง 50%

ช้าง

ช้าง
?


การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์อาณาจักร
Animalia
ไฟลัม Chordata
ไฟลัมย่อย Vertebrata
ชั้น Mammalia

อันดับ Proboscidea
วงศ์ Elephantidae
Gray, 1821

ช้าง

ช้าง (Elephant) จัดอยู่ในประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ขนาดลำตัวใหญ่ ขนตามลำตัวสีเทา จมูกยื่นยาวเรียกว่า งวง ตัวผู้มีงายาวเรียก "ช้างพลาย" ถ้าไม่มีงาเรียก "ช้างสีดอ" ตัวเมียเรียก "ช้างพัง"

ประเภทและสายพันธุ์

ช้างปัจจุบัน มีสองสายพันธุ์ คือ

-ช้างแอฟริกัน
-ช้างเอเชีย

ช้างโบราณ ได้แก่

-ช้างแมมมอธ
-ช้างสี่งา

ภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับช้าง
ยังมีภาพยนตร์ไทยที่กล่าวถึงความสำคัญของช้างอีกมากมาย แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของช้างที่เป็นสัญลักษณ์ของชาติไทย เช่น

ช้างเพื่อนแก้ว
ภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับการผจญภัยของช้างกับเด็ก แสดงให้เห็นถึงความฉลาด น่ารัก แสนรู้ของช้าง
ก้านกล้วย
ภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องที่สองของไทย มีเนื้อหาเกี่ยวกับช้าง
ต้มยำกุ้ง
ภาพยนตร์แอคชั่น มีเนื้อหาเกี่ยวกับการลักพาช้างออกนอกประเทศ พระเอกในเรื่องได้ไปตามทวงคืนมา แสดงให้เห็นถึงความรักและหวงแหนช้าง สัตว์ประจำชาติของชาติไทย

วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551

หมา

ยูทูบ

YouTube
เว็บไซต์ youtube.com
ประเภทเว็บไซต์ วิดิโอแชริง
เจ้าของ กูเกิล
ผู้ก่อตั้ง สตีฟ เชน และ ชัด เฮอร์เล
วันที่เปิดตัว พ.ศ. 2548
สถานะปัจจุบัน เปิดให้บริการ

ยูทูบ[1] (YouTube) เป็นเว็บไซต์ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถอัปโหลดและแลกเปลี่ยนคลิปวีดีโอผ่านทางเว็บไซต์ ก่อตั้งเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 โดย แชด เฮอร์ลีย์, สตีฟ เชง และ ยาวีด คาริม อดีตพนักงานบริษัทเพย์พาล ในปัจจุบันยูทูบมีพนักงาน 67 คน[2] และมีสำนักงานอยู่ที่ ซานบรูโนในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของกูเกิล

การทำงานของเว็บไซต์แสดงผลวีดีโอผ่านทางในลักษณะ อะโดบี แฟลช ซึ่งเนื้อหามีหลากหลายรวมถึง รายการโทรทัศน์มิวสิกวิดีโอ วีดีโอจากทางบ้าน งานโฆษณาทางโทรทัศน์ และบางส่วนจากภาพยนตร์ และผู้ใช้สามารถนำวีดีโอไปใส่ไว้ในบล็อกหรือเว็บไซต์ส่วนตัวได้ ผ่านทางคำสั่งที่กำหนดให้ของยูทูบ ยูทูบถือว่าเป็นหนึ่งในเว็บ 2.0 ชั้นนำของอันดับต้น ๆ ของโลก

ยูทูบมีนโนบายไม่ให้อัปโหลดคลิปที่มีภาพโป๊เปลือยและคลิปที่มีลิขสิทธิ์นอกเสียจากเจ้าของลิขสิทธิ์ได้อัปโหลดเอง โดยผู้ใช้สามารถทำการแจ้งลบได้

ในวันที่ 9 ตุลาคม 2549 กูเกิลได้ประกาศซื้อบริษัทยูทูบเป็นจำนวนเงินทั้งหมด 1.65 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งได้เสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 และในวันที่ 20 มิถุนายน 2550 ยูทูบ ได้เพิ่มโดเมนไปอีก 9 แห่ง สำหรับ 9 ประเทศ ได้แก่ บราซิล ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น ฮอลแลนด์ โปแลนด์ สเปน ไอร์แลนด์ และ สหราชอาณาจักร[3]

ข้อมูลเชิงเทคนิค

รูปแบบวิดีโอ
ยูทูบใช้งานโดยแสดงผลภาพวิดีโอในลักษณะของ แมโครมีเดีย แฟลช 7 และใช้การถอดรหัสแบบ Sorenson Spark H.263 แฟลชเป็นโปรแกรมเสริมที่ต้องติดตั้งเพิ่มสำหรับเว็บเบราว์เซอร์ทั่วไป โดยแสดงผลที่ขนาดความกว้างและสูง 320 และ 240 พิกเซล ที่ 25 เฟรมต่อวินาที โดยมีการส่งข้อมูลสูงสุดที่ 300 กิโลบิตต่อวินาที ซึ่งการแสดงผลสามารถดูได้ที่ขนาดปกติ หรือขนาดที่แสดงผลเต็มจอ

ยูทูบแปลงไฟล์วิดีโอเป็นไฟล์ในลักษณะ แฟลชวิดีโอ ในนามสกุล .FLV ภายหลังจากผู้ใช้ได้อัปโหลดเข้าไป ไม่ว่าผู้อัปโหลดจะโหลดในลักษณะ .WMV .AVI .MOV MPEG หรือ .MP4 [4]

รูปแบบเสียง
ไฟล์ในยูทูบเก็บในลักษณะสตรีมไฟล์MP3 โดยมีการเข้ารหัสแบบโมโนที่ 65 กิโลบิต/วินาที ที่ 22050 เฮิรตซ์ อย่างไรก็ตามยูทูบสามารถเก็บไฟล์เสียงในลักษณะสเตอริโอได้หากมีการแปลงเป็นไฟล์ FLV ก่อนที่ทำการอัปโหลด

การแสดงผล
วิดีโอในยูทูบสามารถดูได้ผ่านเว็บไซต์ยูทูบโดยตรงผ่านซอฟต์แวร์แฟลชที่กล่าวมา ดูได้ผ่านแอปเปิลทีวี ไอโฟน ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งนอกจากนี้ยูทูบสามารถดูได้จากเว็บไซต์ทั่วไปที่มีการนำรหัสไปใส่เชื่อมโยงกลับมาที่เว็บยูทูบเอง เห็นได้ตามเว็บบอร์ด

นอกจากนี้สามารถเซฟไฟล์ยูทูบเก็บไว้ในเครื่องของตนเองได้โดยใช้งานซอฟต์แวร์ของบริษัทอื่น

การปิดกั้นข่าวสารในประเทศไทย

ผู้ใช้ในประเทศไทยได้ถูกปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ยูทูบ ตั้งแต่คืนวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2550 หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายสิทธิชัย โภไคยอุดม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พยายามขอความร่วมมือหลายครั้ง ให้กูเกิลนำคลิปวิดีโอตัดต่อพระบรมฉายาลักษณ์ที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ออก แต่ถูกปฏิเสธโดยได้ให้เหตุผลว่าคลิปวิดีโออื่นที่โจมตีประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช รุนแรงมากกว่านี้ ซึ่งคลิปวิดีโอดังกล่าว อัปโหลดโดยผู้ใช้ชื่อ paddidda เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2550 มีผู้ชมไปแล้ว มากกว่า 16,000 ครั้ง และมีมากกว่า 500 ความคิดเห็นด้วยกัน [5] [6] หลังจากที่ได้มีการออกข่าว จำนวนผู้ชมไปขึ้นไปถึงกว่า 66,553 ครั้งก่อนที่คลิปวิดีโอดังกล่าวจะถูกย้ายออกจากระบบ แม้ว่าคลิปวิดีโอได้ถูกเอาออกไปแล้ว แต่เว็บไซต์ยังคงถูกบล็อกต่อไป โดยนายสิทธิชัย โภไคยอุดมได้ให้เหตุผลว่ายังมีภาพตัดต่อพระบรมฉายาลักษณ์คงเหลืออยู่ และต้องการให้เอาออกทั้งหมด[7][8]

ในวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ได้มีการยกเลิกการบล็อกเว็บไซต์ยูทูบ จนสามารถใช้งานได้ตามปกติแล้ว หลังจากที่ยูทูบตกลงที่จะบล็อกวิดีโอที่มีการหมิ่นประมาทในไทยต่าง ๆ[9]

อ้างอิง
^ คำว่า YouTube ทับศัพท์ว่า ยูทูบ แทนที่ ยูทิวบ์ โดยใช้หลักการทับศัพท์ตามสำเนียงอังกฤษอเมริกัน เนื่องจากเป็นบริษัทที่ก่อตั้งในสหรัฐอเมริกาและเป็นชื่อเรียกที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย
^ จำนวนพนักงานในยูทูบ
^ ข่าว ยูทูบเปิดโดเมนย่อย 9 แห่ง จากกูเกิลบล็อก
^ รูปแบบไฟล์ที่ยูทูบรองรับ
^ Thailand blocks YouTube for clip mocking king ข่าวจากสำนักข่าวรอยเตอร์ (อังกฤษ)
^ YouTube disappears from Thai Internet ข่าวจากบางกอกโพสต์ (อังกฤษ)
^ YouTube Clip Out, but Thai Ban Continues (อังกฤษ)
^ Update - ยูทูบลบคลิปแล้ว แต่ไอซีทียังแบนเว็บไซต์ต่อเนื่อง
^ "Ban on YouTube lifted after deal", The Nation, 31 สิงหาคม พ.ศ. 2550.

Windows Vista


ผู้พัฒนา
ไมโครซอฟท์
เว็บไซต์: www.microsoft.com/Thailand/WindowsVista
รายละเอียดรุ่น
วันที่ออก: 8 พฤศจิกายน 2549 ลิงก์
รุ่นเสถียรล่าสุด: 6.0 (Build 6000) (30 มกราคม 2550) ลิงก์
ซอร์สโค้ด model: Shared source
ลิขสิทธิ์: ไมโครซอฟท์ EULA
ประเภทเคอร์เนล: Hybrid kernel
สถานะการสนับสนุน
อยู่ในช่วงได้รับการสนับสนุน

วินโดวส์วิสตา (Windows Vista) คือระบบปฏิบัติการไมโครซอฟท์ วินโดวส์รุ่นล่าสุด ที่พัฒนาต่อมาจากวินโดวส์เอกซ์พี และวินโดวส์เซิร์ฟเวอร์ 2003 ปัจจุบันได้วางจำหน่ายให้กับองค์กรธุรกิจวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 และวางจำหน่ายให้กับผู้ใช้ทั่วไปวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2550

ไมโครซอฟท์ประกาศใช้ชื่อ วินโดวส์วิสตา อย่างเป็นทางการแก่สื่อมวลชนในวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 แทนที่ชื่อรหัส ลองฮอร์น (Longhorn) โดยคำว่า วิสตา ในภาษาอังกฤษ หมายถึงมุมมอง หรือทิวทัศน์

วินโดวส์วิสตาได้มีความสามารถใหม่หลายร้อยรายการ ไม่ว่าจะเป็นระบบแสดงผลกราฟิกใหม่ โปรแกรมใหม่ ความสามารถค้นหาที่ดีกว่าเดิม รวมถึงระบบองค์ประกอบภายในอย่างในส่วนเน็ตเวิร์ก ระบบเสียง การพิมพ์ และการแสดงผลที่ได้ถูกออกแบบและเขียนขึ้นมาใหม่ และยังได้รวมดอตเน็ตเฟรมเวิร์ก 3.0 ซึ่งช่วยผู้พัฒนาระบบสามารถพัฒนาแอปพลิเคชันได้สะดวกรวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม

การพัฒนา

วินโดวส์วิสตา ได้เริ่มพัฒนาครั้งแรกภายใต้ชื่อรหัส ลองฮอร์น (Longhorn) ในปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2544 และในภายหลังก็ได้มีการเปลี่ยนชื่อมาใช้เป็น วินโดวส์วิสตา

ความสามารถใหม่

Windows Aero - ระบบวินโดวส์แอโร่ ระบบการแสดงผลกราฟิกใหม่ โดยจะมีลักษณะเป็นแบบโปร่งใส สามารถมองทะลุเห็นหน้าต่างอื่นในฉากหลังได้
Window Desktop Manager - Window Desktop Manager หรือเรียกสั้นๆ ว่า WDM เดิมถูกเรียกว่า Desktop Compositing Engine หรือ DCE โดยถูกเพิ่มเติมมาพร้อมกับวินโดวสวิสตา ซึ่งทำให้วินโดวส์ แอโร สามารถใช้งานได้ โดยผู้ใช้ต้องติดตั้ง DirectX 9 โดย WDM จะคล้ายกับ Quartz Compositor ใน Mac OS X ซึ่งไม่สามารถจัดการผ่านทางหน้าจอได้โดยตรง

ประเภทผลิตภัณฑ์

วินโดวส์วิสตามีสายผลิตภัณฑ์อยู่ทั้งหมด 6 รุ่นด้วยกันโดยได้ออกแบบมาให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก หรือสำหรับผู้ใช้ทั่วไปและในทุกรุ่นยกเว้น Windows Vista Starter จะสามารถรองรับหน่วยประมวลผลกลางทั้งชนิด 32 บิต และ 64 บิต เพื่อให้เหมาะสมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานมากขึ้น

รุ่นของวินโดวส์วิสตา

Windows Vista Starter
Microsoft Windows Vista Starter เป็นวินโดวส์วิสตาเวอร์ชั่นต่ำสุดและมีราคาถูกที่สุด โดยจะวางขายในกลุ่มประเทศที่ถูกจัดว่าเป็นกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีและจะไม่วางจำหน่ายในกลุ่มประเทศที่จัดว่าพัฒนาแล้วทางเทคโนโลยี[1] เพื่อตอบสนองต่อกลุ่มตลาดผู้ใช้ที่เพิ่งเริ่มใช้คอมพิวเตอร์ มีงบประมาณที่จำกัด หรือทำงานไม่มาก
ข้อจำกัดของ Microsoft Windows Vista Starter ประการหนึ่งคือสามารถเปิดใช้งานโปรแกรมได้ไม่เกินสูงสุด 3 โปรแกรมในครั้งเดียว (แต่ไม่ได้มีข้อจำกัดในการเปิดหน้าจอของโปรแกรมที่ทำงาน)[2] นอกจากนั้น Microsoft Windows Vista Starter จะอ้างอิงหน่วยความจำหลัก (RAM) ได้สูงสุดไม่เกิน 1GB เท่านั้น[3] ตลอดจนไปถึงในรุ่นนี้รองรับเฉพาะหน่วยประมวลผลกลางที่เป็น 32 บิตเท่านั้น

นอกเหนือไปจากนั้นแล้วยังมีขีดจำกัดทางด้านการทำงานของเครือข่ายๆต่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการไม่สามารถแบ่งปันแฟ้มร่วมกันได้ เป็นต้น[4]

Windows Vista Home Basic
Microsoft Windows Vista Home Basic เป็นวินโดวส์วิสตารุ่นที่มีความสามารถที่ต่ำสุดในบรรดาวินโดวส์วิสตารุ่นปกติที่มีวางจำหน่ายทั่วโลก (ไม่นับ Windows Vista Starter) สามารถรองรับหน่วยประมวลผลกลางทั้ง 32 บิต และ 64 บิต โดยถ้าใช้แบบ 64 บิต จะสามารถรองรับหน่วยความจำหลัก (RAM) ได้สูงสุด 8 GB[5]
สำหรับ Windows Vista Home Basic จะมีข้อจำกัดทางด้านการแสดงผลที่จะไม่มีการแสดงผลแบบ Aero ซึ่งเป็นคุณสมบัติในการทำงานแบบใหม่ของ Microsoft Windows Vista [6] ตลอดจน Mobility Center, Windows Media Center และคุณสมบัติอื่นๆ

ราคาจำหน่ายโดยประมาณที่กำหนดโดยไมโครซอฟท์สำหรับแบบบรรจุภัณฑ์สำเร็จ รุ่นเต็มอยู่ที่ราคาโดยประมาณ 199 เหรียญดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในขณะที่ถ้าเป็นการปรับรุ่นอยู่ที่ 99.95 เหรียญดอลลาร์สหรัฐโดยประมาณ[7]

Windows Vista Home Premium
Microsoft Windows Vista Home Premium เป็นรุ่นที่มีความสามารถสูงกว่า Microsoft Windows Vista Home Basic โดยมีคุณสมบัติทางด้านการแสดงผลแบบ Aero ซึ่งเป็นคุณสมบัติใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาในวินโดวส์วิสตา นอกจากนั้นแล้วยังเพิ่มคุณสมับติทางด้านการจัดการสื่อต่างๆโดยผ่านโปรแกรมและคุณสมบัติเฉพาะ เช่น Windows Media Center, Windows Media Extender, Windows DVD Maker, เกมต่างๆ และ Windows Movie Maker in HD[6]
ส่วนข้อจำกัดของ Windows Vista Home Premium อยู่ที่จะไม่มีคุณสมบัติทางด้านธุรกิจ เช่น Windows Fax and Scan และ Windows Complete PC Backup and Restore เป็นต้น

สำหรับการใช้งานแบบ 64 บิต Microsoft Windows Vista Home Premium สามารถอ้างอิงหน่วยความจำหลัก (RAM) ได้มากสุด 16GB[5]

ราคาจำหน่ายโดยประมาณที่กำหนดโดยไมโครซอฟท์สำหรับแบบบรรจุภัณฑ์สำเร็จ รุ่นเต็มอยู่ที่ราคาโดยประมาณ 239 เหรียญดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในขณะที่ถ้าเป็นการปรับรุ่นอยู่ที่ 159 เหรียญดอลลาร์สหรัฐโดยประมาณ[8]

Windows Vista Business
Microsoft Windows Vista Business ออกแบบมาเพื่อสำหรับการใช้งานในเชิงธุรกิจ และมีความสามารถทางธุรกิจมากกว่ารุ่น Home Premium นอกจากการแสดงผลแบบ Aero แล้ว คุณสมบัติในการส่งโทรสารผ่าน Windows Fax and Scan ก็ยังมีอยู่ด้วยเช่นกัน รวมไปถึงคุณสมบัติ Shadow Copy ซึ่งสามารถบันทึกความเปลี่ยนแปลงของไฟล์รุ่นต่างๆได้ ทำให้สามารถนำข้อมูลสำคัญที่ถูกแก้ไขกลับคืนมาได้ [9]
อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติทางด้านการจัดการสื่อและความบันเทิงที่มีอยู่ใน Windows Vista Home Premium นั้นจะไม่มีอยู่ใน Windows Vista Business[6] คุณสมบัติเหล่านั้นได้แก่ Windows Media Center, การรองรับ Windows Media Extender, Windows Movie Maker in HD เป็นต้น

สำหรับการใช้งานแบบ 64 บิต Microsoft Windows Vista Business สามารถอ้างอิงหน่วยความจำหลัก (RAM) ได้มากสุด 120GB ขึ้นไป[5]

ราคาจำหน่ายโดยประมาณที่กำหนดโดยไมโครซอฟท์สำหรับแบบบรรจุภัณฑ์สำเร็จ รุ่นเต็มอยู่ที่ราคาโดยประมาณ 299 เหรียญดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในขณะที่ถ้าเป็นการปรับรุ่นอยู่ที่ 199 เหรียญดอลลาร์สหรัฐโดยประมาณ[9]

Windows Vista Enterprise
Microsoft Windows Vista Enterprise ถูกออกแบบมาสำหรับองค์กรขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่มีความสลับซับซ้อนทางด้านระบบสารสนเทศ โดยมีคุณสมบัติที่มากกว่า Microsoft Windows Vista Business เช่น Windows Bitlocker Drive Encryption, คุณสมบัติการทำงานส่วนติดต่อผู้ใช้หลายภาษา (Multilingual User Interface) และคุณสมบัติที่สำคัญคือ Subsystem for Unix Application (SUA) ที่ออกแบบมาเพื่อให้โปรแกรมบนระบบปฏิบัติการ Unix สามารถทำงานบน Windows Vista Enterprise ได้อย่างไม่มีปัญหา [10]
สำหรับการใช้งานแบบ 64 บิต Microsoft Windows Vista Enterprise สามารถอ้างอิงหน่วยความจำหลัก (RAM) ได้มากสุด 120GB ขึ้นไป[5]

การจำหน่าย Microsoft Windows Vista Enterprise จะไม่มีการวางจำหน่ายเป็นการทั่วไป โดยจำหน่ายแก่องค์กรที่ซื้อลิขสิทธิ์เป็นจำนวนมาก (Volume Licensing)[11] ซึ่งได้ซื้อสิทธิพิเศษที่เรียกว่า "Microsoft Software Assurance" [12]

Windows Vista Ultimate
Microsoft Windows Vista Ultimate เป็นรุ่นของ Microsoft Windows Vista ทั่วไปที่มีความสามารถสูงมากที่สุดในกลุ่ม ซึ่งมีความสามารถเทียบเท่ากับ Home Premium และ Business รวมกัน และเพิ่มความสามารถทางด้านความปลอดภัยมากขึ้นด้วยการเพิ่มคุณสมบัติ Windows Bitlocker Drive Encryption หรือการเข้ารหัสทั้งดิกส์ไดรฟ์เพื่อความปลอดภัย[6] ตลอดไปถึงความสามารถอื่นๆอย่างเช่นการทำงานส่วนติดต่อผู้ใช้หลายภาษา (Multilingual User Interface)[13]
สำหรับการใช้งานแบบ 64 บิต Microsoft Windows Vista Ultimate สามารถอ้างอิงหน่วยความจำหลัก (RAM) ได้มากสุด 120GB ขึ้นไป[5]

ราคาจำหน่ายโดยประมาณที่กำหนดโดยไมโครซอฟท์สำหรับแบบบรรจุภัณฑ์สำเร็จ รุ่นเต็มอยู่ที่ราคาโดยประมาณ 399 เหรียญดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในขณะที่ถ้าเป็นการปรับรุ่นอยู่ที่ 259 เหรียญดอลลาร์สหรัฐโดยประมาณ[13]

จากเอกสารคำแนะนำของไมโครซอฟท์[14] ได้ให้คำแนะนำสำหรับการปรับรุ่น (Upgrade) ไปสู่วินโดวส์วิสตาเอาไว้ดังนี้

- สำหรับผู้ที่ใช้ Microsoft Windows XP Home Edition คำแนะนำคือปรับรุ่นไปสู่ Microsoft Windows Vista Home Basic

- สำหรับผู้ที่ใช้ Microsoft Windows XP Tablet PC Edition และ Microsoft Windows XP Media Center Edition คำแนะนำคือปรับรุ่นไปสู่ Microsoft Windows Vista Home Premium

- สำหรับผู้ที่ใช้ Microsoft Windows XP Professional, Professional x64 Edition และ Tablet PC Edition คำแนะนำคือปรับรุ่นไปสู่ Microsoft Windows Vista Business

รูปแบบการมองเห็น

วินโดวส์แอโร - เป็นรูปแบบการมองเห็นที่ถูกพัฒนาขึ้น พร้อมกับเครื่องมือจััดการรูปแบบการมองเห็นที่เรียกว่า Window Desktop Manager โดยวินโดวส์แอโร ถูกสนับสนุนการมองเห็นแบบ 3 มิติ เช่น หน้าต่างที่สามารถพลิกได้แบบ 3 มิติทำให้สะดวกขึ้นในการย้ายหน้าต่าง, การมองเห็นแบบโปร่งใส, การมองเห็นภาพเล็กๆ ขอ งหน้าต่างขณะที่นำเมาส์ชี้ที่ทาสก์บาร์, วินโดวส์ เอะนิเมะชัน และเอฟเฟ็กต์ต่างๆ ซึ่งแสดงถึงความต้องการของการ์ดจอที่มีคุณภาพสูงในระดับหนึ่ง คือ 128 MB เป็นอย่างต่ำ ซึ่งวินโดวส์แอโร พร้อมกับความสามารถหน้าต่างที่สามารถพลิกได้แบบ 3 มิตินั้นไม่ได้ถูกรวมในรุ่น Starter และ Home Basic
วินโดวส์ วิสต้า สแตนดาร์ด - เป็นรูปแบบการมองเห็นที่ด้อยกว่าวินโวส์ แอโร่ ซึ่งจะไม่มีการมองเห็นแบบโปร่งใส, วินโดวส์ เอะนิเมะชัน และเอฟเฟ็กต์ต่างๆ แต่จะมีหน้าต่างที่สามารถพลิกได้แบบ 3 มิติซึ่งยังคงต้องใช้ WDM ซึ่งเป็นส่วนประกอบของวินโดวส์แอโร ซึ่งการมองเห็นแบบนี้จะถูกตั้งค่าแรกเริ่มในรุ่น Home Basic แต่จะไม่มีในรุ่น The Starter
วินโดวส์ วิสต้า เบสิค - เป็นรูปแบบการมองเห็นที่คล้ายวินโดวส์ เอ๊กซ์พี วิสช่วลสไตล์ แต่จะมีการเพิ่มอะนิเมะชั่นบ้างเล็กน้อยซึ่งจะปรากฏบนแถบสถานะการทำงาน (Progress Bar) ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ WDM จะไม่มีการมองเห็นแบบโปร่งใส, วินโดวส์ เอะนิเมะชันหรือหน้าต่างที่สามารถพลิกได้แบบ 3 มิติที่ต้องใช้ WDM และความต้องการของการ์ดแสดงผลจะคล้ายกับ XP ซึ่งเหมาะสำหรับการ์ดแสดงผลที่ไม่สามารถแสดงผลแบบ วินโดวส์แอโร จะถูกกำหนดเป็นค่าแรกเริ่ม

อ้างอิง

^ http://www.microsoft.com/windows/products/windowsvista/editions/starter/default.mspx
^ http://windowshelp.microsoft.com/Windows/en-US/Help/83f968d5-844e-408c-a7c4-69ff50f0ff541033.mspx
^ http://www.microsoft.com/thailand/windows/products/windowsvista/editions/starter/default.mspx
^ http://windowshelp.microsoft.com/Windows/en-US/Help/44526469-b916-4442-9372-4f566795bbcf1033.mspx
^ 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 http://www.microsoft.com/windows/products/windowsvista/editions/64bit.mspx
^ 6.0 6.1 6.2 6.3 http://www.microsoft.com/windows/products/windowsvista/editions/choose.mspx
^ http://www.microsoft.com/windows/products/windowsvista/editions/homebasic/default.mspx
^ http://www.microsoft.com/windows/products/windowsvista/editions/homepremium/default.mspx
^ 9.0 9.1 http://www.microsoft.com/windows/products/windowsvista/editions/business/default.mspx
^ http://www.microsoft.com/windows/products/windowsvista/enterprise/features/operatingsystem.mspx
^ http://www.microsoft.com/windows/products/windowsvista/enterprise/buy.mspx
^ http://www.microsoft.com/licensing/sa/default.mspx
^ 13.0 13.1 http://www.microsoft.com/windows/products/windowsvista/editions/ultimate/default.mspx
^ http://download.microsoft.com/download/8/0/7/80797240-6627-4b1e-afb7-4daf7f4cea51/TH_Windows_Vista_Edition.pdf

เพลงชาติไทย

เพลงชาติไทย เป็นชื่อเพลงชาติของประเทศไทย ประพันธ์ทำนองโดย พระเจนดุริยางค์ ในช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 คำร้องฉบับแรกสุดโดยขุนวิจิตรมาตรา ซึ่งแต่งขึ้นภายหลังในปีเดียวกัน ต่อมาได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมเนื้อร้องอีกหลายครั้งและได้เปลี่ยนมาใช้เนื้อร้องฉบับปัจจุบันเมื่อ พ.ศ. 2482

ประวัติ
กำเนิดของเพลงชาติไทย

ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ได้มีการใช้เพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นเพลงถวายความเคารพพระมหากษัตริย์ตามธรรมเนียมสากล แม้เพลงดังกล่าวยังไม่ใช่เพลงชาติ (National Anthem) อย่างเป็นทางการก็ตาม แต่ก็ถืออนุโลมตามธรรมเนียมสากลว่าเป็นเพลงชาติของประเทศสยาม

เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ใน พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้ประกาศใช้เพลงชาติมหาชัย ซึ่งประพันธ์เนื้อร้องโดย เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เป็นเพลงชาติอยู่ 7 วัน (ใช้ชั่วคราว ระหว่างรอพระเจนดุริยางค์แต่งเพลงชาติใหม่) แต่ไม่ได้รับความนิยมจากประชาชน ต่อมาจึงได้เปลี่ยนมาเป็นเพลงชาติฉบับที่แต่งทำนองโดยพระเจนดุริยางค์ เป็นเพลงชาติแทนเพลงสรรเสริญพระบารมี

ที่มาของทำนองเพลงชาติปัจจุบันนั้น จากบันทึกความทรงจำของพระเจนดุริยางค์ ได้เล่าไว้ว่า ราวปลายปี พ.ศ. 2474 เพื่อนนายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งของท่าน คือ หลวงนิเทศกิลกิจ (กลาง โรจนเสนา)[1] ได้ขอให้ท่านแต่งเพลงสำหรับชาติขึ้นเพลงหนึ่ง ในลักษณะของเพลงลามาร์แซแยส ซึ่งพระเจนดุริยางค์ได้บอกปฏิเสธไป เพราะท่านถือว่าเพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นเพลงชาติอยู่แล้ว ทั้งการจะให้แต่งเพลงนี้ก็ยังไม่ใช่คำสั่งของทางราชการด้วย แม้ภายหลังหลวงนิเทศกลกิจจะมาติดต่อให้แต่งเพลงนี้อีกหลายครั้งก็ตาม พระเจนดุริยางค์ก็หาทางบ่ายเบี่ยงมาตลอด เพราะท่านสงสัยว่าการขอร้องให้แต่งเพลงนี้เกี่ยวข้องกับการเมือง ประกอบกับในเวลานั้นก็มีข่าวลือเรื่องการปฏิวัติอย่างหนาหูด้วย[2]

หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ 2475 ผ่านไปได้ประมาณ 5 วันแล้ว หลวงนิเทศกลกิจ ซึ่งพระเจนดุริยางค์รู้ภายหลังว่าเป็น 1 ในสมาชิกคณะราษฎรด้วย ได้กลับมาขอร้องให้ท่านช่วยแต่งเพลงชาติอีกครั้ง โดยอ้างว่าเป็นความต้องการของคณะผู้ก่อการ ท่านเห็นว่าคราวนี้หมดทางที่จะบ่ายเบี่ยง เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในเวลานั้นอยู่ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อ ท่านจึงขอเวลาในการแต่งเพลงนี้ 7 วัน และแต่งสำเร็จในวันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ตนได้กำหนดนัดหมายวันแต่งเพลงชาติไว้ ขณะที่นั่งบนรถรางสายบางขุนพรหม-ท่าเตียน เพื่อไปปฏิบัติราชการที่สวนมิสกวัน จากนั้นท่านจึงได้ทำการเรียบเรียงเสียงประสานสำหรับให้วงดุริยางค์ทหารเรือบรรเลง และมอบโน้ตเพลงนี้ใ้ห้หลวงนิเทศกลกิจนำไปบรรเลง ในการบรรเลงตนตรีประจำสัปดาห์ที่ีพระที่นั่งอนันตสมาคมในวันพฤหัสบดีถัดมา พร้อมทั้งกำชับว่าให้ปิดบังชื่อผู้แต่งเพลงเอาไว้ด้วย[2]

อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์ศรีกรุงก็ได้ลงข่าวเรื่องการประพันธ์เพลงชาติใหม่โดยเปิดเผยว่า พระเจนดุริยางค์เป็นผู้แต่งทำนองเพลงนี้ ทำให้พระเจนดุริยางค์ถูกเจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ เสนาบดีกระทรวงวัง ตำหนิอย่างรุนแรงในเรื่องนี้ แม้ภายหลังพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี จะได้ชี้แจงว่าท่านและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้คิดการแต่งเพลงนี้ และเพลงนี้ก็ยังไม่ได้รับรองว่าเป็นเพลงชาติเนื่องจากยังอยู่ในระหว่างการทดลองก็ตาม แต่พระเจนดุริยางค์ก็ได้รับคำสั่งปลดจากทางราชการให้รับเบี้ยบำนาญ ฐานรับราชการครบ 30 ปี และหักเงินเดือนครึ่งหนึ่งเป็นบำนาญ อีกครึ่งที่เหลือเป็นเงินเดือน โดยให้รับราชการต่อไปในอัตราเงินเดือนใหม่นี้ ในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้นเอง[2]

ส่วนเนื้อร้องของเพลงชาตินั้น คณะผู้ก่อการได้ทาบทามให้ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธ์) เป็นผู้ประพันธ์ืคำร้อง โดยคำร้องที่แต่ขึ้นนั้นมีความยาว 2 บท สันนิษฐานว่าเสร็จอย่างช้าก่อนวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2475 เนื่องจากมีการคันพบโน้ตเพลงพร้อมเนื้อร้องซึ่งตีพิมพ์โดยโรงพิมพ์ศรีกรุง ซึ่งลงวันที่ตีพิมพ์ในวันดังกล่าว[3] แม้เพลงนี้จะเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมจากประชาชนทั่วไปก็ตาม แต่เพลงนี้ก็ยังไม่ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็นเพลงชาติ และมีการจดจำต่อๆ กันไปเรื่อยๆ โดยไม่มีใครรู้ที่มาชัดเจน ดังปรากฏว่า มีการคัดลอกเนื้อเพลงชาติของขุนวิจิตรมาตราส่งเข้าประกวดเนื้อเพลงชาติฉบับราชการ เมื่อ พ.ศ. 2476 โดยอ้างว่าตนเองเป็นผู้แต่งด้วย[4]

เพลงชาติสยามฉบับราชการ พ.ศ. 2477

ในปี พ.ศ. 2477 รัฐบาลได้จัดประกวดเนื้อร้องเพลงชาติใหม่ ผลปรากฏว่าเนื้อร้องของขุนวิจิตรมาตรายังคงได้รับการรับรองให้ใช้อีกต่อไป แต่มีการเพิ่มเนื้อร้องของนายฉันท์ ขำวิไล เข้าต่อท้ายอีก 2 บท (แต่ละบทมีความยาว 8 วรรค) ทำให้เนื้อร้องเพลงชาติยาวมากเกินไป เพราะเนื้อร้องของเดิมของขุนวิจิตรมาตรามีความยาวถึง 2 บท (16 วรรค) อยู่แล้ว เมื่อรวมกับเนื้อร้องของนายฉันท์ด้วยแล้ว เนื้อร้องเพลงชาติทั้งหมดจะมีความยาวถึง 32 วรรค หากจะร้องเพลงชาติให้ครบทั้งสี่บทจะต้องใช้เวลาร้องถึง 3 นาที 52 วินาที (เฉลี่ยแต่ละท่อนรวมดนตรีนำด้วยทั้งเพลงตกที่ท่อนละ 35 วินาที) ในสมัยนั้นคนไทยส่วนใหญ่จึงนิยมร้องแต่เฉพาะบทร้องของขุนวิจิตรมาตราเท่านั้น และต่อมาภายหลังจึงไม่มีการขับร้อง คงเหลือแต่เพียงทำนองเพลงบรรเลงเท่านั้น

เพลงชาติสยามฉบับสังเขป พ.ศ. 2478

ในปี พ.ศ. 2478 รัฐบาลของพระยาพหลพลพยุหเสนาได้ออกระเบียบการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงชาติ ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478 (มีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ปีเดียวกัน) ระเบียบดังกล่าวนี้ได้มีการกำหนดให้แบ่งการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงชาติออกเป็น 2 แบบ คือ การบรรเลงแบบพิสดาร (บรรเลงตามความยาวปกติเต็มเพลง) และการบรรเลงแบบสังเขป ในกรณีของเพลงชาตินั้น ได้กำหนดให้บรรเลงเพลงชาติฉบับสังเขปในการพิธีที่เกี่ยวข้องกับประชาชน สโมสรสันนิบาต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพิธีปกติ ส่วนการบรรเลงแบบเต็มเพลงนั้นให้ใช้ในงานพิธีใหญ่เท่านั้น

ในระเบียบดังกล่าวได้อ้างเหตุผลสำคัญในการลดความยาวเพลงชาติลงไปว่า "เพลงชาติต่างๆ ที่เป็นชาติใหญ่หรือมหาอำนาจสำคัญ มักมีเพลงประจำชาติสั้นๆ แต่ชาติเล็กๆ น้อยๆ มักใช้เพลงชาติยาวๆ ชาติยิ่งเล็กเท่าไรยิ่งมีความยาวของเพลงมากเท่านั้น"[5]

ท่อนของเพลงชาติที่ตัดมาใช้บรรเลงแบบสังเขปนั้น คือท่อนขึ้นต้น (Introduction) ของเพลงชาติ (เทียบกับเนื้อร้องเพลงชาติฉบับปัจจุบันก็คือตั้งแต่ท่อน สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี จนจบเพลง) ความยาวประมาณ 10 วินาที ไม่มีการขับร้องใดๆ ประกอบ

เพลงชาติไทย พ.ศ. 2482 - ปัจจุบัน

ในปี พ.ศ. 2482 "ประเทศสยาม" ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "ประเทศไทย" รัฐบาลจึงได้จัดประกวดเนื้อร้องเพลงชาติไทยใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงชื่อประเทศ โดยกำหนดเงื่อนไขยังคงใช้ทำนองของพระเจนดุริยางค์อยู่เช่นเดิม แต่กำหนดให้มีเนื้อร้องความยาวเพียง 8 วรรคเท่านั้น ผลการประกวดปรากฏว่าเนื้อร้องของพันเอกหลวงสารานุประพันธ์ ซึ่งส่งประกวดในนามกองทัพบกได้รับรางวัลชนะเลิศ รัฐบาลไทยจึงได้ประกาศรับรองให้ใช้เป็นเนื้อร้องเพลงชาติไทยเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2482 และใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

เนื้อเพลง
เพลงชาติไทยฉบับปัจจุบัน

ทำนอง: พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร)
คำร้อง: พันเอก หลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์)
ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย
เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน
อยู่ดำรงคงไว้ได้ทั้งมวล
ด้วยไทยล้วนหมาย รักสามัคคี
ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด
เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่
สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี
เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชัย ชโย

เพลงชาติไทยฉบับ พ.ศ. 2475 และ พ.ศ. 2477

ประพันธ์ทำนองโดยพระเจนดุริยางค์ ใช้เป็นเพลงชาติไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2475 โดยช่วงแรกใช้คำร้องที่ประพันธ์โดย ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) ต่อมาปลายปี พ.ศ. 2476 รัฐบาลได้จัดการประกวดเนื้อร้องเพลงชาติ และประกาศรับรองเนื้อร้องที่แก้ไขเพิ่มเติมใหม่โดยขุนวิจิตรมาตรา และเนื้อร้องที่แต่งโดยนายฉันท์ ขำวิไล ซึ่งเป็นฉบับที่ชนะการประกวด เป็นเนื้อร้องเพลงชาติฉบับทางราชการ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2477

ทำนอง: พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร)
คำร้อง: ขุนวิจิตรมาตรา
(บทที่ 1 และบทที่ 2) ทำนอง: พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร)
คำร้อง: ฉันท์ ขำวิไล
(บทที่ 3 และบทที่ 4)
แผ่นดินสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง
ไทยเข้าครองตั้งประเทศเขตต์แดนสง่า
สืบเผ่าไทยดึกดำบรรพ์โบราณลงมา
รวมรักษาสามัคคีทวีไทย
บางสมัยสัตรูจู่โจมตี
ไทยพลีชีพร่วมรวมรุกไล่
เข้าลุยเลือดหมายมุ่งผดุงผะไท
สยามสมัยบุราณรอดตลอดมา
อันดินสยามคือว่าเนื้อของเชื้อไทย
น้ำรินไหลคือว่าเลือดของเชื้อข้า
เอกราษฎร์คือเจดีย์ที่เราบูชา
เราจะสามัคคีร่วมใจ
รักษาชาติประเทศเอกราชจงดี
ใครย่ำยีเราจะไม่ละให้
เอาเลือดล้างให้สิ้นแผ่นดินของไทย
สถาปนาสยามให้เทอดไทยไชโย เหล่าเราทั้งหลายขอน้อมกายถวายชีวิต
รักษาสิทธิ์อิสระ ณ แดนสยาม
ที่พ่อแม่สู้ยอมม้วยด้วยพยายาม
ปราบเสี้ยนหนามให้พินาศสืบชาติมา
แม้ถึงภัยไทยด้อยจนย่อยยับ[6]
ยังกู้กลับคงคืนได้ชื่นหน้า
ควรแก่นามงามสุดอยุธยา
นั้นมิใช่ว่าจะขัดสนหมดคนดี
เหล่าเราทั้งหลายเลือดและเนื้อเชื้อชาติไทย
มิให้ใครเข้าเหยียบย่ำขยำขยี้
ประคับประคองป้องสิทธิ์อิสรเสรี
เมื่อภัยมีช่วยกันจนวันตาย
จะสิ้นชีพไว้ชื่อให้ลือลั่น
ว่าไทยมั่นรักชาติไม่ขาดสาย
มีไมตรีดียิ่งทั้งหญิงทั้งชาย
สยามมิวายผู้มุ่งหมายเชิดชัยไชโย

อ้างอิง

^ สุกรี เจริญสุข. เพลงชาติ. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: เรือนแก้วการพิมพ์, 2532. หน้า 15
^ 2.0 2.1 2.2 เจนดุริยางค์, พระ. บันทึกความทรงจำของพระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยากร) ชิวประวัติของข้าพเจ้า. พระนคร: สถาบันวัฒนธรรมเยอรมัน, 251-. หน้า 20 - 21.
^ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. ความเป็นมาของเพลงชาติไทยปัจจุบัน ใน วารสารธรรมศาสตร์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 27 ประจำเดือนธันวาคม พ.ศ. 2547 หน้า 20
^ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. ความเป็นมาของเพลงชาติไทยปัจจุบัน หน้า 24
^ สุกรี เจริญสุข. เพลงชาติ. หน้า 27 - 28
^ เนื้อร้องท่อนนี้ตามที่เผยแพร่ทั่วไปแม้ในเอกสารราชการมักเขียนผิดเป็น "แม้ถึงไทยไทยด้อยจนย่อยยับ" อยู่เสมอ เนื้อร้องที่ถูกต้องเป็นดังที่แสดงไว้ข้างบนนี้ (ดูเพิ่มเติมที่ ความเป็นมาของเพลงชาติไทยปัจจุบัน โดย สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล)

ชินจังจอมแก่น


ชินจังจอมแก่น

ชื่อไทย ชินจังจอมแก่น
ชื่อญี่ปุ่น クレヨンしんちゃん
ชื่ออังกฤษ Crayon Shin-chan
ประเภท เซเน็น
แนว คอมเมดี้
หนังสือการ์ตูน

ผู้แต่ง โยชิโตะ อุสึอิ
สำนักพิมพ์ ฟุตาบะฉะ
เนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์
นิตยสาร วีคลี่มังงะแอคชั่น
ตีพิมพ์เมื่อ 2533 – 2550
จำนวนเล่ม 46 เล่ม
24 เล่ม
ภาพยนตร์การ์ตูนโทรทัศน์

ผู้กำกับ มิตสึรุ ฮงโง (พ.ศ. 2535-พ.ศ. 2539)
เคอิจิ ฮาระ (พ.ศ. 2539-พ.ศ. 2547)
ยูจิ มุโต (พ.ศ. 2547-)
ผลิตโดย ชินเอโดงะ
ฉายทาง อนิแม็กซ์, ทีวีฮาซาฮี
ช่อง 3
ฉายครั้งแรก 13 เมษายน 2535 – ปัจจุบัน
จำนวนตอน มากกว่า 2,000 ตอน
ส่วนหนึ่งของสารานุกรมการ์ตูนญี่ปุ่น

ชินจังจอมแก่น (「クレヨンしんちゃん」, Kureyon Shinchan, クレヨンしんちゃん?) เป็นการ์ตูนญี่ปุ่น เรื่องและภาพโดยโยชิโตะ อุสึอิ ตีพิมพ์ในประเทศญี่ปุ่นโดยสำนักพิม์ Futabasha ในประเทศไทยตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์ และได้รับการสร้างเป็นแอนิเมชัน ในปีพ.ศ. 2535

ชินจังจอมแก่น เป็นการ์ตูนแนวตลกขบขันเรื่องหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย ชินจังเป็นการ์ตูนที่มีลายเส้นง่าย ๆ และมีเนื้อหาใกล้ตัว แต่ก็เป็นที่วิจารณ์ในวงกว้างว่าทำให้เด็กวัยเดียวกันก้าวร้าว และเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ

เนื้อเรื่อง

ระวังเสียอรรถรส ข้อความด้านล่างนี้ มีการกล่าวถึง เนื้อเรื่อง หรือฉากจบ

เนื้อเรื่องเกี่ยวกับชินจัง (โนะฮาร่า ชิโนสึเกะ; Nohara Shinosuke) เด็กอนุบาลวัย 5 ขวบสุดแก่น มีนิสัยคล้ายคลึงกับพ่อ (ฮิโรชิ) เช่น ชอบผู้หญิงหุ่นดีหน้าตาดี และยังชอบอาบน้ำกับพ่อมาก . แม่ของชินจัง (มิซาเอะ) มีนิสัยขี้เหนียวและขี้อ่อนแอโมโห.ชินจังมีน้องสาวหนึ่งคนชื่อฮิมาวาริ. ครอบครัวของชินจังเลี้ยงหมาหนึ่งตัว ชื่อเจ้าขาว (ชิโร่). เพื่อน ๆ ของชินจังที่พบในเรื่องบ่อย ๆ คือ คาซาม่าคุง, เนเน่จัง, มาซาโอะคุง, และ โบจัง ชินจังมักมีท่าแปลกๆ เช่น ท่ามนุษย์ต่างดาวนู้ดครึ่งก้น ท่าที่เอากางเกงในมาครอบหัว โดยทำเหมือนกับว่ามันเป็นหน้ากาก ชินจังชอบดูการ์ตูนหน้ากากแอ็คช่น เป็นคนที่ชื่อนชอบ และชื่นชมในตัวหน้ากากแอ็คชั่นมาก การละเล่นของชินจังที่โรงเรียนคือ เล่นเป็นยุง เล่นเป็นอึ เล่นซ่อนแอบแบบไม่มีคนหา เล่นแกล้งตายบนหิมะ เล่นพ่อ แม่ ลูก

ตัวละครหลัก

โนะฮาร่า ชินโนสุเกะ
โนะฮาร่า ฮิมาวาริ
โนะฮาร่า มิซาเอะ
โนะฮาร่า ฮิโรชิ
เจ้าขาว
เนเน่จัง
คาซาม่าคุง
มาซาโอะคุง
โบจัง

ตัวละครรอง

พี่นานาโกะ
ครูโยชินาง่า
ครูมัตสึซากะ
ครู..?
ครูใหญ่
แฟนครูใหญ่

ตัวละครอื่นๆ

คุณปู่
คุณย่า
คุณตา
คุณยาย
คุณป้า (พี่มิซาเอะ)
คุณน้าเค
คุณซากุระดะ (ครอบครัวเนเน่จัง)
ชีต้า
แก๊งแมลงป่องแดงแห่งไซตามะ
คุณหมูดุ๊กดิ๊ก